‘บินไทย’เผยไตรมาส 2/67 กำไร 306 ลบ. ลดลง 86.5% หลังค่าใช้จ่ายพุ่ง-ขาดทุนค่าเงิน คุยรายได้รวมเหยียบ 4.3 หมื่นลบ. จากการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินรับตลาดการบินฟื้น ขณะที่ 6 เดือนมีกำไร 2,716 ล้านบาท ลดลง 81.6%

9 สิงหาคม 2567 นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/2567 มีกำไร 306.13 ล้านบาท ลดลง 86.5% จากงวดเดียวกันปี 66 ที่มีกำไร 2,261.90 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนปี 67 มีกำไร 2,715.68 ล้านบาท ลดลง 81.6 % จากงวดเดียวกันปี 66 ที่มีกำไร 14,775.85 ล้านบาท

ทั้งนี้ไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 43,981 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 6,600 ล้านบาท หรือ (17.7%) โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากกิจการขนส่งที่ เพิ่มขึ้น 5,323 ล้านบาท (15.2%) เนื่องจากการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และเส้นทางบินที่ให้บริการเพื่อรองรับ

ในไตรมาสนี้บริษัท มีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เพิ่มขึ้นจาก ปีก่อนถึง 9,251 ล้านบาท  ตามปริมาณการผลิตและหรือปริมาณการขนส่ง จำนวนเที่ยวบิน จุดบิน และ ผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งอัตราค่าบริการภาคพื้น ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และการอ่อนค่าของเงินบาทที่ส่งผลให้ ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมส่วนใหญ่ที่อยู่ในสกุลเงินต่างประเทศสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไร จากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 5,925 ล้านบาท ต่ำกว่างวดเดียวกัน ของปีก่อน 2,651 ล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว สาเหตุหลักจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศ ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ ถึงแม้จะมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนแบ่ง กำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และกำไรจากการขายสินทรัพย์ โดยในไตรมาสที่ 2 ปี2567 มีรายการ ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นค่าใช้จ่ายรวม 809 ล้านบาท

ทั้งนี้ ส่งผลให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิจำนวน 314 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 1,959 ล้านบาท โดยเป็นกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 306 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.14 บาท ลดลงจากปีก่อน 0.90 บาทต่อหุ้น (86.5%) โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบิน รวมค่าเช่าเครื่องบินที่คำนวณจากการใช้เครื่องบิน ที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hour) เป็นกำไรจำนวน 4,401 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 4,906 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทฯ มีเครื่องบินที่ใช้ทำการบินทั้งสิ้น 77 ลำโดยในไตรมาสที่ 2/67 บริษัทฯ มีอัตราการใช้ประโยชน์ของเครื่องบินเฉลี่ย 13.1 ชั่วโมง ปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 21.1% และปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 11.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ปรับตัวลดลงจาก 79.2% ในงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 73.2% โดยไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงที่ความต้องการเดินทางของผู้โดยสารต่ำที่สุดของปี

“ในปี 66 อุตสาหกรรมการบินยังอยู่ในระยะฟื้นตัวจากปริมาณความต้องการเดินทางของผู้โดยสารคงค้าง การเปิด ประเทศของจีน และการผ่อนคลายและยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้อัตรา การบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ในไตรมาสที่ 2 ของปีก่อนอยู่ในระดับสูงกว่าภาวะปกติ”

อย่างไรก็ตาม รายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (รวมค่าธรรมเนียมชดเชยค่าน้ำมันและค่าเบี้ยประกันภัย) อยู่ที่ 3.07 บาท และจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 3.81 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 3.4% และ 13.7%

ขณะเดียวกันการขนส่งสินค้ามีปริมาณการผลิตด้านพัสดุภัณฑ์ (ADTK) เพิ่มขึ้น 23.5% และปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (RFTK) เพิ่มขึ้น 24.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่อัตราส่วนการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (Freight Load Factor) เฉลี่ยเท่ากับ 51.5% ใกล้เคียงกับงวดเดียวกัน ของปีก่อน

นอกจากนี้ปริมาณความต้องการเดินทางของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขนส่งผู้โดยสาร ที่เพิ่มขึ้น 4,963 ล้านบาท (15.9%) และมีรายได้จากค่าระวางขนส่งและไปรษณียภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น 360 ล้านบาท (9.4%) โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากกิจการอื่นเพิ่มขึ้น 724 ล้านบาท (37.3%) และมีรายได้ อื่นๆ เพิ่มขึ้น 553 ล้านบาท (115.0%)

ณ วันที่ 30 มิ.ย.67 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมจำนวน 270,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จาก ณ วันที่ 31 ธ.ค.66 จำนวน 31,535 ล้านบาท (13.2%) หนี้สินรวมมีจำนวน 310,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธ.ค.66 จำนวน 28,823 ล้านบาท (10.2%) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ บริษัทย่อย ติดลบจำนวน 40,430 ล้านบาท ติดลบลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธ.ค.66 จำนวน 2,712 ล้านบาท