เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่สองของปี 2567 และแนวโน้มปี 2567 ณ ห้อง 521 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 2.3 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.6 ในไตรมาสแรกของปี 2567 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2567 ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี 2567 ร้อยละ 0.8 (%QoQ_SA) รวมครึ่งแรกของปี 2567 เศรษฐกิจไทย ขยายตัวร้อยละ 1.9
ด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของการอุปโภคภาครัฐบาล การส่งออกสินค้าและบริการ และการขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐปรับตัวลดลง
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 4.0 ชะลอลงจากร้อยละ 6.9 ในไตรมาสก่อน โดย การใช้จ่ายหมวดบริการขยายตัวร้อยละ 6.0 ชะลอลงจากร้อยละ 13.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอลงของการใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร กลุ่มบริการทางการเงิน การบริการด้านการศึกษา และกลุ่มสถานบันเทิงอื่น ๆ การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 3.6 ชะลอลงจากร้อยละ 4.7 ตามการชะลอลงของการใช้จ่ายกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และการใช้จ่ายกลุ่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ส่วนการใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 6.5 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 6.7 ในไตรมาส ก่อนหน้า ตามการลดลงของการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการตัดสินใจชะลอการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงที่การแข่งขันด้านราคามีความรุนแรงมากขึ้น การใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนขยายตัวร้อยละ 4.3 ตามการขยายตัวของการใช้จ่ายเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ และการใช้จ่ายกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 54.3 ลดลงจากระดับ 57.2 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 0.3 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 2.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยรายจ่ายการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 เทียบกับการลดลงร้อยละ 10.7 ในไตรมาสก่อนหน้า และค่าตอบแทนแรงงาน (เงินเดือน ค่าบำเหน็จบำนาญ) ขยายตัวร้อยละ 0.8 ขณะที่ค่าซื้อสินค้าและบริการลดลงร้อยละ 3.8
สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 27.7 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 19.2 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 24.3 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวมครึ่งแรกของปี 2567 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.4 ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลลดลงร้อยละ 0.9
การลงทุนรวม ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สามร้อยละ 6.2 โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 6.8 ตามการลดลงของการลงทุนในหมวดเครื่องมือร้อยละ 8.1 สอดคล้องกับการลดลงของการลงทุนในหมวดยานพาหนะร้อยละ 22.5 และการชะลอตัวของปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ส่วนการลงทุนหมวดก่อสร้างลดลงร้อยละ 2.2 ตามการลดลงของการก่อสร้างที่อยู่อาศัย และการก่อสร้างอาคารพาณิชย์เป็นสำคัญ ขณะที่การก่อสร้างโรงงานขยายตัวต่อเนื่อง
การลงทุนภาครัฐ ลดลงร้อยละ 4.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 27.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนของรัฐบาลลดลงร้อยละ 12.8 ขณะที่การลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัวร้อยละ 10.1 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 24.0 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 5.7 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 19.0 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวมครึ่งแรกของปี2567 การลงทุนรวมลดลงร้อยละ 5.1 โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 0.9 และการลงทุนภาครัฐลดลงร้อยละ 16.7
ด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 73,315 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ตามการขยายตัวของปริมาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร ขณะที่ราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว (ร้อยละ 53.0) ยางพารา (ร้อยละ 37.3) คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ147.9) อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม (ร้อยละ 58.5) ยานยนต์ (ร้อยละ 3.3) และชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 22.5) เป็นต้น
กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง เช่น ทุเรียน (ลดลงร้อยละ 1.0) น้ำตาล (ลดลงร้อยละ 26.3) ผลิตภัณฑ์ยาง (ลดลงร้อยละ 10.5) แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน (ลดลงร้อยละ 14.5) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 0.6) และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (ลดลงร้อยละ 12.8) เป็นต้น ส่วนการนำเข้าสินค้ามีมูลค่า 67,777ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ชะลอลงจากร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยปริมาณการนำเข้าที่กลับมาลดลงร้อยละ 0.9 ตามการลดลงของปริมาณการนำเข้าหมวดสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง และสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ราคานำเข้าขยายตัวร้อยละ 2.1 ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 5.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (203.1 พันล้านบาท) เทียบกับการเกินดุล 1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (58.6 พันล้านบาท) ในไตรมาสก่อน
ด้านการผลิต สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัว สาขาที่พักแรมและบริการ ด้านอาหาร สาขาการขายส่งและการขายปลีก สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่สาขาการก่อสร้าง และสาขาเกษตรกรรม ปรับตัวลดลง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ลดลงร้อยละ 1.1 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยผลผลิตสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 1.7 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของผลผลิตสินค้าสำคัญๆ อาทิ ข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 13.0) กลุ่มไม้ผล (ลดลงร้อยละ 8.0) มันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 8.4) กุ้งขาวแวนนาไม (ลดลงร้อยละ 17.6) และยางพารา (ลดลงร้อยละ 0.6) ตามลำดับ ในขณะที่ผลผลิตสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อาทิ อ้อย (ร้อยละ 41.9) ปาล์มน้ำมัน (ร้อยละ 40.8) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ร้อยละ 11.1) โคเนื้อ (ร้อยละ 4.8) และไก่เนื้อ (ร้อยละ 1.1) ตามลำดับ
ส่วนราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 เร่งขึ้นจากร้อยละ 5.5 ตามการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญๆ เช่น ยางพารา (ร้อยละ 68.6) กลุ่มผลไม้ (ร้อยละ 22.6) ข้าวเปลือก (ร้อยละ 8.4) อ้อย (ร้อยละ 28.6) และไข่ไก่คละ (ร้อยละ 3.5) ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางรายการปรับตัวลดลง เช่น สุกร (ลดลงร้อยละ 16.9) มันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 21.9) และปาล์มน้ำมัน (ลดลงร้อยละ 18.4) ตามลำดับ
การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้รายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 8.9 รวมครึ่งแรกของปี 2567 สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงลดลงร้อยละ 1.9 สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 0.2 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 2.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของกลุ่มการผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศขยายตัวร้อยละ 2.5 ในขณะที่กลุ่มการผลิตเพื่อการส่งออกและกลุ่มการผลิตที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30-60 ลดลงร้อยละ 1.5 และร้อยละ 4.5 ตามลำดับ
การผลิตสินค้าสำคัญๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตน้ำมันปาล์ม (ร้อยละ 25.5) การผลิตอาหารสัตว์สำเร็จรูป (ร้อยละ 13.5) การผลิตเครื่องจักรอื่นๆ ที่ใช้งานทั่วไป (ร้อยละ 8.7) การผลิตสตาร์ช และผลิตภัณฑ์จากสตาร์ช (ร้อยละ 30.1) และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม (ร้อยละ 1.9) เป็นต้น ส่วนการผลิตสินค้าสำคัญๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 13.4) การผลิตชิ้นส่วนและแผงวงจรฯ (ลดลงร้อยละ 18.3)
การผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ (ลดลงร้อยละ 9.7) การผลิตจักรยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 14.9) และการผลิตยางนอกและยางใน การหล่อดอกยางและการซ่อมสร้างยาง (ลดลงร้อยละ 7.2) เป็นต้น สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 57.79 ต่ำกว่าร้อยละ 60.43 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่าร้อยละ 58.56 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
รวมครึ่งแรกของปี 2567 สาขาการผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 1.4 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวร้อยละ 7.8 ต่อเนื่องจากร้อยละ 11.8 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยในไตรมาสนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 8.131 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 93.67 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19) ส่งผลให้มูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยวในไตรมาสนี้อยู่ที่ 3.32 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 12 ร้อยละ 38.6
ส่วนการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ไทยเที่ยวไทย) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 10 ร้อยละ 13.0 สร้างรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 2.45 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 5.77 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.5 สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 69.92 ต่ำกว่าร้อยละ 75.27 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 66.93 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวมครึ่งแรกของปี 2567 สาขา ที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวร้อยละ 9.8
สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ ขยายตัวร้อยละ 3.0 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 4.3 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ประกอบกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว รวมครึ่งแรกของปี 2567 สาขาการขายส่งและการขายปลีกขยายตัวร้อยละ 3.7 สาขาก่อสร้าง ลดลงร้อยละ 5.5 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 17.3 ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยการก่อสร้างภาครัฐลดลงร้อยละ 7.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 30.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของการก่อสร้างของรัฐบาลเป็นสำคัญ ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนลดลงร้อยละ 2.2 รวมครึ่งแรกของปี 2567 สาขาการก่อสร้างลดลงร้อยละ 11.2 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.07 สูงกว่าร้อยละ 1.01 ในไตรมาสก่อน และสูงกว่าร้อยละ 1.06 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.7 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.4 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (93.7 พันล้านบาท) เงินทุนส ารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ 224.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 มีมูลค่าทั้งสิ้น 11.54 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.5 ของ GDP
- แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.3 - 2.8 (ค่ากลางการประมาณการ ร้อยละ 2.5) โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจาก (1) การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว (2) การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ (3) การเพิ่มขึ้นของแรงขับเคลื่อนจาก การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ และ (4) การกลับมาขยายตัวอย่างช้าๆ ของการส่งออกสินค้าตามการฟื้นตัวของการค้าโลก โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.5 และร้อยละ 0.3 ตามลำดับ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สรอ. ขยายตัวร้อยละ 2.0 อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.4 - 0.9 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.3 ของ GDP
รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2567 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้ 1.การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.5 ต่อเนื่องจากการขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 7.1 ในปี 2566 เท่ากับประมาณการครั้งก่อน และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.7 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 4.6 ในปี 2566 และเท่ากับการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีงบประมาณ 2567 ที่เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อนหน้า ร้อยละ 7.3 รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีงบประมาณ 2568 ร้อยละ 4.7
2. การลงทุนรวมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.1 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 1.2 ในปี 2566 โดย (1) การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.3 ปรับลดลงจากร้อยละ 3.2 ในการประมาณการครั้งก่อน และชะลอลงจากร้อยละ 3.2 ในปี 2566 สอดคล้องกับการลดลงของการลงทุนในไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 6.8 ซึ่งทำให้การลงทุนภาคเอกชนในครึ่งแรกของปีลดลงร้อยละ 0.9 และ (2) การลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะลดลงร้อยละ 0.7 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.8 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับให้สอดคล้องกับการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจที่สูงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้
3. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.5 ในปี 2566 เท่ากับการประมาณการครั้งที่ผ่านมา เมื่อรวมกับการส่งออกบริการ ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าในการประมาณการครั้งที่ผ่านมาตามการปรับเพิ่มสมมติฐานรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ 4.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.1 ในปี 2566 และเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.7 ในการประมาณการครั้งก่อน
- ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2567 การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2567 ควรให้ความสำคัญกับ 1) การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะการสร้างความต่อเนื่องของกระบวนการงบประมาณเพื่อให้การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน
2) การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (1) การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติโดยอาศัยประโยชน์จากการย้ายฐานการลงทุนเพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2565 - 2567 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว เพื่อช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวของภาคการผลิตและภาคการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพิ่มขึ้น อาทิ สินค้าประเภทอาหารมูลค่าสูง สินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสินค้าที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งสินค้าที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้า
(2) การพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการปรับลดอุปสรรคด้านขั้นตอนกระบวนการ และข้อบังคับ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต และการพัฒนาผลิตภาพแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมและภาคบริการเป้าหมาย (3) การเร่งรัดโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้
และ (4) การเพิ่มผลิตภาพการผลิตผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อน าไปสู่การผลิตสินค้าไทยที่มีศักยภาพและมีมูลค่าสูงขึ้นที่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขัน ด้านราคาและมีมาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาดและข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในประเทศให้มีความพร้อมและสามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลกมากขึ้น
3) การปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดย (1) การตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุ่มตลาด รวมทั้งการใช้มาตรการและวิธีการทางการค้าที่ไม่เป็น ธรรมจากประเทศผู้ส่งออกสำคัญ และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการภาคธุรกิจเข้าถึง การดำเนินมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD/AC) (2) การปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าให้มีความเข้มงวดรัดกุมมากขึ้น
การเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมสินค้านำเข้า รวมทั้งการส่งเสริมการสร้างความร่วมมือในการจัดทำความตกลงยอมรับร่วมด้านมาตรฐานระหว่างประเทศ และการเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ที่นำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน และ (3) การดำเนินการอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำความผิดลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมาย หลบเลี่ยงภาษี หรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ
4) การดูแลสภาพคล่องให้เพียงพอสำหรับภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่มีศักยภาพ แต่ประสบปัญหาการเข้าถึงสภาพคล่องให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้และลดการอาศัยแหล่งเงินกู้นอกระบบ ควบคู่ไปกับการยกระดับศักยภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ควรดำเนินมาตรการเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ การแก้ปัญหาหนี้เรื้อรังให้แก่ลูกหนี้โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
5) การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยมุ่งเน้นการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนให้กระจายไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการลงทุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการเร่งรัดกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ไม่ให้เกิดความล่าช้า
6) การเตรียมการรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะปรากฎการณ์ลานีญาอันอาจนำไปสู่ความเสี่ยงจากสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปี และปรากฎการณ์เอลนีโญที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงจากภัยแล้งในช่วงปีหน้า โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การยกระดับประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเตือนภัย การให้ความรู้แก่เกษตรกรเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของความแปรปรวนด้านสภาพภูมิอากาศ และเข้าถึงหลักการใช้น้ำในการเพาะปลูกอย่างถูกต้อง ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่เกษตรกรผ่านการส่งเสริมรูปแบบและพัฒนาระบบประกันภัยพืชผลจากความเสี่ยงของสภาพอากาศ
7) การเร่งรัดแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (PM2.5) และการเตรียมความพร้อมของปัจจัยแวดล้อมด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ สนามบิน/เที่ยวบิน กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก การบริหารจัดการพื้นที่และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการรักษามาตรฐานความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และยกระดับศักยภาพและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและยั่งยืน ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจในระยะยาวต่อไป
และ 8) การเตรียมมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบและใช้ประโยชน์จากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการค้าโลก อาทิความรุนแรงของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การกีดกันทางการค้า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และความผันผวนในตลาดการเงินโลก
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=1544
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี