นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่ากระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย ให้สอดรับกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะใช้การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง ด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนมีอาชีพมั่นคงจากต้นทุนในชุมชน ผ่าน6 โครงการหลักที่สนับสนุนให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และกระจายรายได้ เชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมให้เติบโตในพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้งบประมาณปี 2567
โดย 6 โครงการหลัก ประกอบด้วย 1. โครงการสร้างผู้ประกอบการจากช่างมืออาชีพ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจและผู้ประกอบการในกลุ่มอาชีพช่าง ดำเนินการในพื้นที่ 12 จังหวัด อาทิ จันทบุรี นนทบุรี เพชรบุรี ราชบุรี สระบุรี พิษณุโลก บุรีรัมย์ ยโสธร เป็นต้น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 662 คน
2.โครงการสร้างเสริม เติมทักษะ สู่อาชีพดีพร้อม เพื่อเพิ่มทักษะ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน สร้างรายได้ และเงินหมุนเวียนในชุมชน ดำเนินการในพื้นที่ 18 จังหวัด อาทิ ชลบุรี ปทุมธานี ปราจีนบุรี ระยอง สมุทรปราการ เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า1,980 คน
3.โครงการพัฒนานักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมพัฒนาความรู้และเพิ่มทักษะองค์ความรู้ให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมครอบคลุมทุกมิติ ดำเนินการในพื้นที่ 12 จังหวัด อาทิ ตราด ระยอง ลพบุรี สมุทรสงคราม อ่างทอง อุตรดิตถ์ เป็นต้นซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 500 คน
จากผลการดำเนินงานในภาพรวมใน 3 โครงการได้พัฒนาผู้ประกอบการ SME วิสาหกิจชุมชน ตลอดจนนักศึกษา ผู้ว่างงาน และประชาชนในพื้นที่กว่า 3,142 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 467 ล้านบาท
4.โครงการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจด้วยบริการปรึกษาแนะนำเบื้องต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้สามารถพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขปัญหา ริเริ่ม ต่อยอด เชื่อมโยงธุรกิจและแหล่งเงินทุน ดำเนินการในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 613 คน (เป้าหมาย 532 คน) สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 247 ล้านบาท
5.โครงการพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจผ่านศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) เพื่อพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ดำเนินการในพื้นที่ 12 จังหวัด อาทิ ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี นครสวรรค์ น่าน ลำพูน สุโขทัย เป็นต้น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 288 คน 24 กิจการ (เป้าหมาย 240 คน 24 กิจการ) ทั้งอาหารแปรรูป เกษตรแปรรูปยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 50 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 430 ล้านบาท
6.โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสู่การแข่งขันเศรษฐกิจวิถีใหม่ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในแต่ละพื้นที่ ให้มีศักยภาพรองรับเศรษฐกิจวิถีใหม่ ให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเศรษฐกิจในพื้นที่เป้าหมาย 27 จังหวัด อาทิ กาญจนบุรี, ชัยนาท, นครนายก, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์, พระนครศรีอยุธยา,
สมุทรปราการ, สมุทรสาคร เป็นต้น มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรม 849 คน
รวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำวิสาหกิจ เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการธุรกิจทั้งโซ่อุปทานในพื้นที่ 19 จังหวัด อาทิ กาญจนบุรี, ชัยนาท, นครนายก, ประจวบคีรีขันธ์, พระนครศรีอยุธยา, เป็นต้น มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 72 กิจการ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้กว่า 239,944,081.18 บาท สร้างรายได้ได้กว่า 86,574,482 บาท
รวมทั้งการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ หรือต้นแบบวัสดุอุตสาหกรรม ของสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมศักยภาพในพื้นที่ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมในพื้นที่เข้าสู่เศรษฐกิจวิถีใหม่ในพื้นที่ 18 จังหวัด อาทิ กาญจนบุรี, ชัยนาท, นครนายก, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, สระแก้ว, เชียงราย, ตาก, พะเยา, เป็นต้น มีผลิตภัณฑ์ได้รับการพัฒนา 55 ผลิตภัณฑ์ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 23,897,872 บาท และสร้างรายได้ 8,016,286 บาท
“ทั้ง 6 โครงการดำเนินการเสร็จเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ประชาชนในพื้นที่เป้าหมายกว่า 4,900 ราย กระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 1,400 ล้านบาท ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ มั่นใจจะเป็นอีกฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเวลานี้” นายณัฐพลกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี