นักวิจัย‘TDRI’เชื่อศก.ไตรมาส3-4ดีกว่าครึ่งปีแรก แจกเงินสดกลุ่มเปราะบางแทนดิจิทัลวอลเล็ตกระตุ้นได้เร็ว
เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2567 ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และ ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงโจทย์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่ควรเร่งดำเนินการภายหลังเข้ารับตำแหน่ง ว่า ในระยะสั้นทุกฝ่ายจึงคาดหวังให้รัฐบาลเร่งผลักดันพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ออกมาให้เร็ว เนื่องจากงบประมาณของปีนี้ออกมาล่าช้ากว่ากำหนดมากแล้ว
แต่มีการคาดการณ์กันว่าร่างพ.ร.บ.งบฯปี 2568 ล่าช้าออกไปอีกประมาณ 1 เดือน เนื่องจากต้องรอการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นอกจากนี้ภาคเอกชน ยังต้องการให้ภาครัฐเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งปี 2567 รวมถึงปีถัดไปเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนในระยะถัดไปต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย เพราะตอนนี้ไทยต้องรับมือกับการแข่งขันจากต่างประเทศค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจากสินค้าจีนที่เข้ามา โดยที่เอสเอ็มอีของไทยอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะแข่งขันกับสินค้าจีนได้
ดังนั้นภาครัฐควรมีมาตรการชะลอสินค้าที่ทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งเป็นการซื้อเวลาให้ทางเอสเอ็มอีไทยได้ปรับตัวได้ในระยะหนึ่ง แต่ไม่สามารถกีดกันสินค้าจากต่างประเทศได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการของไทย ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมีความคาดหวังว่าแรงงานของไทยจะมีทักษะในการทำงานกับเครื่องจักร รวมถึงระบบอัตโนมัติต่างๆได้
นอกจากนี้ยังมีประเด็นความซ้ำซ้อนของกฎระเบียบและขั้นตอนการขออนุญาตต่างๆ ที่หากมีการปฏิรูปก็จะเป็นผลดีในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงยังส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยได้อีกด้วย สำหรับการปรับเงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะมอบให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ วงเงิน 1.45 แสนล้านบาทเป็นกลุ่มแรกก่อนภายในเดือนกันยายนนี้ ส่วนกลุ่มคนทั่วไปอีก 30 ล้านคนจะถูกจัดสรรในระยะถัดไปนั้น ตามรายงานข่าวระบุว่าจะมีการปรับ 2 อย่าง คือ กลุ่มของผู้ที่ได้รับเงิน 1 หมื่นบาท ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม และมีการปรับจากการให้เงินดิจิทัลเป็นเงินสด
ซึ่งหากมีการดำเนินการในลักษณะนี้จริง จะได้ผลต่อเศรษฐกิจแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยและเงินหมุนในประเทศได้เร็ว เนื่องจากว่าการให้แบบเจาะจงกับกลุ่มที่มีความจำเป็น อย่างผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มพิการ จะทำให้เงินก้อนนี้ถูกใช้ในทันทีและใช้หมด ไม่ได้ถูกนำไปเก็บออมซึ่งจะไม่เกิดผลทางเศรษฐกิจ หรือ ไปซื้อของนำเข้าจากต่างประเทศที่จะทำให้เงินตรารั่วไหลออกนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าผลของโครงการอาจจะไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ 100% แบบที่คาดไว้ เพราะว่าเงินส่วนหนึ่งที่นำมาใช้เป็นการเกลี่ยมาจากวงเงินงบประมาณที่สามารถนำไปใช้ในโครงการอื่นได้
ถ้าถามว่าจะทำอย่างไรให้นโยบายนี้ เกิดความคุ้มค่ากับงบประมาณให้มากที่สุด คิดว่าก้อนแรกที่ให้กับกลุ่มเปราะบางมีความคุ้มค่าระดับหนึ่ง แต่ที่เหลืออีกก้อนจำนวน 3 แสนล้านบาทที่จะให้กับประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไป หากสามารถดีไซน์โครงการนี้ได้ใหม่ เห็นว่าอาจจะไม่ต้องแจกทุกคน หรืออาจจะลดสเกลการแจกลงมา หรือถ้าจะแจกจริงๆ น่าจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมเล็กน้อย เช่น ในจำนวนเงิน 1 หมื่นบาท คนที่ได้รับสิทธิต้องนำไปใช้สำหรับอัพสกิล หรือ รีสกิล 2,000 บาทได้ไหม เพื่อเป็นการเพิ่มพูนทักษะของประชาชนในระยะยาวด้วย ซึ่งดีกว่าให้ครั้งเดียวแล้วหายไปเลย” ดร.กิริฎา กล่าว
ดร.กิริฎา กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีที่มีการแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางถึงภาษีแบบ Negative Income tax ว่า ระบบภาษีแบบ Negative Income tax คือการให้ประชาชนมาลงทะเบียนอยู่ในระบบภาษี ซึ่งก็คือภาษีบุคคลธรรมดา แล้วหากใครมีรายได้ต่อปีไม่ถึงเกณฑ์ที่รัฐกำหนด รัฐก็จะมอบเงินช่วยเหลือให้แทนที่จะเก็บภาษี เพื่อให้บุคคลนั้นๆมีรายได้ถึงเกณฑ์รายได้ที่รัฐกำหนดไว้
สำหรับภาษีประเภทนี้นั้นไม่ได้เป็นไอเดียใหม่ เพราะเคยมีการพูดถึงเรื่องนี้เมื่อประมาณประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว รัฐบาลในขณะนั้นมีไอเดียว่าจะผลักดัน แต่ในที่สุดแล้วก็ไม่ได้ทำต่อ อย่างไรก็ตามหากจะมีการผลักดันในตอนนี้ เห็นว่าน่าจะสามารถดำเนินการได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีต เพราะเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนเข้าระบบภาษีได้ง่ายขึ้น
ซึ่งหากจะทำจริงๆ คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยให้รัฐบาลทราบข้อมูลประชาชนทันที และประชาชนเองก็ไม่ต้องลำบากไปลงทะเบียนทุกครั้งที่มีปัญหาหรือเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่จะต้องไปลงทะเบียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้ามีฐานข้อมูลนี้รัฐบาลจะรู้เลยว่าตอนนี้ใครเดือดร้อน ใครรายได้น้อย ต่ำกว่าเกณฑ์ก็สามารถท็อปอัพเงินให้ประชาชนที่เดือดร้อนจริงๆ ถือเป็นข้อมูลพื้นฐานใหม่ที่รัฐบาล สามารถใช้ได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่องในการช่วยเหลือประชาชน
“แต่ยังมีรายละเอียดต่างๆ ที่จะต้องพิจารณากันต่ออีกหลายเรื่อง เช่น จะกำหนดเงินรายได้ขั้นต่ำเท่าไหร่ แล้วรัฐบาลจะมีงบประมาณพอหรือไม่ถ้าจะต้องไปมอบเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมให้กับทุกคนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งภาษีประเภทนี้มีใช้อยู่ในบางประเทศที่พัฒนาแล้วและเป็นประเทศมีเงิน ซึ่งหากบ้านเราจะใช้ก็คงจะต้องมาดูในรายละเอียด” ดร.กิริฎา ระบุ
ดร.กิริฎา ยังกล่าวอีกว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ไตรมาส 4 ที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะดีกว่าครึ่งแรก จากการท่องเที่ยว การส่งออกที่ฟื้นตัวไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ในเรื่องของการลงทุนท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ บริษัทต่างๆกำลังปรับซัพพลายเชน ทำให้มีความต้องการหาที่ลงทุนใหม่ๆ โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่นักลงทุนให้ความสนใจมาลงทุน
ซึ่งหากดูจากจำนวนบัตรส่งเสริมการลงทุน ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ออกให้กับนักลงทุนต่างชาติในเวลาปีครึ่งที่ผ่านมา ถือว่ามีจำนวนที่สูงมาก และสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 10 ปี มูลค่าประมาณ 8 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่านักลงทุนที่ได้บัตรบีโอไอไปจะเริ่มเข้ามาลงทุนในไทยช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ขอบคุณเรื่องจาก
https://tdri.or.th/2024/08/gov-challenges-economic/
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี