นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) เป็นประธานเปิดงานและกล่าวในงานสัมมนา “Transform Regional Industry to the Future : อุตสาหกรรมไทยต้องปรับ หรือ เปลี่ยน” ภายใต้โครงการพัฒนาระบบการจัดการข้อมูลภาคอุตสาหกรรมและการจัดทำดัชนีอุตสาหกรรมในระดับรายพื้นที่ ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมไทยมีอัตราการเจริญเติบโตลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566 สินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญของไทยผลิตไปจำหน่ายไม่ตรงกับความต้องการของโลก อัตราการเติบโตของผลิตภาพด้านแรงงานของไทยถดถอยลง ทำให้ความสามารถการแข่งขันลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ทำให้อุตสาหกรรมไทยต้องปรับโครงสร้างเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการแล้วในบางอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมชีวภาพ และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัวมุ่งสู่การผลิต High Standard ที่ไม่ใช่แค่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงแต่ยังต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต การคำนึงถึงการผลิตที่ตอบโจทย์ของชุมชนและสังคม รวมถึงการบริหารจัดการที่โปร่งใส คำนึงถึงผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือการผลิตที่เป็นไปตามแนวคิด ESG
โดย สศอ. ได้ผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่เรียกว่า อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน อุตสาหกรรมรีไซเคิลเป็นการจัดการซากต่างๆ เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม Smart Construction เป็นการย้ายกระบวนการผลิตชิ้นส่วนการก่อสร้างมาอยู่ในเขตพื้นที่ที่สามารถควบคุมได้ ลดมลภาวะของชุมชนรอบข้าง
ขณะที่อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ทำให้การจัดการและการกำกับขั้นตอนการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบจากแหล่งวัตถุดิบตลอดจนสินค้าสำเร็จรูปที่ส่งไปถึงมือผู้บริโภคมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมต่อเนื่องการท่องเที่ยว อาทิ SPA และ Wellness ซึ่งจะก่อให้เกิดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และสอดรับกับนโยบายรัฐบาล Soft Power การดำเนินงานผลักดันอุตสาหกรรมที่กล่าวมานั้น จะเป็นส่วนหนึ่งในการ Reshape the Future ของภาคอุตสาหกรรมไทย
จากการดำเนินงานภายใต้โครงการฯที่มีการสัมภาษณ์เชิงลึกและเข้าพบหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสำคัญ 5 กลุ่มพื้นที่ ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออก (อ่าวไทย) และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในแต่ละพื้นที่มีศักยภาพการผลิตที่แตกต่างกัน เช่นแหล่งวัตถุดิบ ความเชี่ยวชาญและคุณลักษณะของแรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน และการจัดการด้านโลจิสติกส์ ดังนั้น นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในแต่ละพื้นที่จึงต้องสอดรับกับชุมชนและสังคมในพื้นที่นั้นๆ
สิ่งสำคัญอีกส่วนหนึ่งคือ การพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ การนำแนวคิด BCG หรือ ESG มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม และการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจที่ลงไปในเชิงพื้นที่ จะเป็นการกระจาย ความเจริญไปยังพื้นที่ ปัจจุบันการพัฒนาในระดับพื้นที่ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือจากการพัฒนาพื้นที่ EEC แต่การพัฒนาจะกระจุกอยู่ในพื้นที่หนึ่งพื้นที่ใดไม่ได้ เพื่อไม่ให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานจำนวนมาก จำเป็นต้องกระจายการพัฒนาในพื้นที่อื่นๆ หรือการปักหมุดอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับวัตถุดิบหรือศักยภาพในพื้นที่ เช่น ภาคใต้มีประชากรมุสลิมจำนวนมาก ประกอบกับเป็นแหล่งวัตถุดิบของอาหารทะเล มีการปศุสัตว์ วัว แพะ แกะ ที่มีคุณภาพดี อุตสาหกรรมอาหารฮาลาลจึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพหนึ่งในภาคใต้
สำหรับในพื้นที่ภาคเหนือ แรงงานจะเป็นแรงงานที่มีฝีมือซึ่งเหมาะสมกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ที่มีแรงงานจำนวนมากเหมาะกับอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น อย่างอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรที่มีพืชไร่ที่เป็นสินค้าเกษตรสำคัญอย่าง มันสำปะหลัง อ้อย ข้าว และข้าวโพด ให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำมากขึ้น
นอกจากนี้ สศอ. ยังขยายการดำเนินงานด้านข้อมูลและการจัดทำดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือ MPI ให้รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ เพื่อให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมรายพื้นที่ และจะเป็นเครื่องมือที่เป็นตัวชี้วัดทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี