ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธานเปิดงาน BOT Symposium 2024 “หนี้ : The Economics of Balancing Today and Tomorrow” เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 โดยกล่าวถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย เพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 90% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี )ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้มาจากพฤติกรรมการใช้จ่ายเกินตัวเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการที่ประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอ คนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพิงสินเชื่อ และอาจกู้เกินศักยภาพหากสถาบันการเงินไม่สามารถประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงขณะที่นโยบายของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยเน้นการให้ความช่วยเหลือเพียงระยะสั้น
เมื่อถามว่าการลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง.จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้หรือไม่นั้น ดร.เศรษฐพุฒิ ระบุว่าการลดดอกเบี้ยอาจทำให้ภาระหนี้เก่าลดลง แต่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าหากลดดอกเบี้ยแล้วจะทำให้สินเชื่อใหม่โตเร็วขึ้นด้วยหรือไม่ ต้องชั่งน้ำหนักทั้งสองฝั่ง นอกจากนี้ยังมีหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยคงที่ จะคาดหวังว่าการลดดอกเบี้ยนโยบายแล้วภาระหนี้ทุกคนจะลดคงไม่ใช่ ส่วนกรณีที่มีการเสนอมาตรการแฮร์คัทหนี้(ปรับลดหนี้) จำเป็นต้องดูแลในระยะยาวและถูกจุด อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของ ธปท. ในการดำเนินนโยบายเพื่อแก้ปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืน
“ดอกเบี้ยเป็นแค่หนึ่งในเครื่องมือที่มีเราใช้เครื่องมือทางการเงินหลายอย่างในการทำงาน เป็น policy mix เรื่องดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งในมาตรการที่ทำ เช่น การลดภาระหนี้คนกลุ่มเปราะบางจริงๆ ถ้าจะลดภาระให้เขา การลดดอกเบี้ย ผลอาจไม่ได้มากเท่าปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่ ธปท.ดำเนินการ ดอกเบี้ย เป็นยาที่กระทบ
วงกว้างหลายด้าน การใช้ยาเฉพาะจุด ตรงจุด จะเหมาะสมกว่า”
ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% นั้นมองว่าไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก แต่ที่ได้รับผลกระทบมากคือค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และราคาทองคำที่ทำ All time hight ส่วนผลกระทบต่อนโยบายการเงินของไทยนั้น ธปท. ยังคงพิจารณาจากการปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ย (Outlook Dependent) 3 ปัจจัยเป็นหลัก ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจอัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพทางการเงินซึ่งขณะนี้แนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อยังใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ ส่วนเสถียรภาพทางการเงิน พบว่าความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) มีสูงขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยที่ยังต้องพิจารณา ในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เป็น K Shape
“อัตราดอกเบี้ยคือหนึ่งในเครื่องมือนโยบายทางการเงิน โดย ธปท.ใช้นโยบายแบบ Policy Mix ซึ่งมองว่าการลดภาระดอกเบี้ยในกลุ่มเปราะบาง อาจส่งผลได้ไม่มากนักเท่ากับการปรับโครงสร้างหนี้” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว
สำหรับเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้นพบว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันแข็งค่าแล้ว 3.4% ซึ่งไม่เฉพาะไทยเท่านั้น แต่ยังมีประเทศอื่นที่แข็งค่าเช่นกัน เช่น มาเลเซีย ทั้งนี้การที่เงินบาทแข็งค่าเกิดจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เฟดลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด แต่สิ่งที่ไม่อยากเห็น คือ การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐาน หรือมาจากการเก็งกำไรค่าเงิน ซึ่งทำให้ความผันผวนของค่าเงินเกิดขึ้นโดยไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นเข้ามา อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังคงมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ส่วนกรณีที่รมว.คลังและรมว.พาณิชย์ ต้องการหารือเรื่องกรอบเงินเฟ้อ ลดดอกเบี้ย ค่าเงินบาท และการเพิ่มเม็ดเงินสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจนั้น ทางผู้ว่าการ ธปท. บอกว่ายินดีที่จะเข้าไปหารือ และตนต้องเป็นฝ่ายเข้าไปพบท่านมากกว่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี