นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่ตนได้นำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ เดินทางเยือนสหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 19-23 กันยายน 2567 นั้น เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 ตนได้กล่าวปาฐกถาเปิดงานสัมมนา “ยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหราชอาณาจักรสู่ระดับใหม่” ซึ่งจัดโดยสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน ทั้งนี้ ตนได้กล่าวยินดีที่จะได้สานต่อความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งระหว่างประเทศไทยและสหราชอาณาจักร ซึ่งในปี 2568 จะครบรอบ 170 ปีแห่งความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ ในทุกมิติโดยเฉพาะความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน
ทั้งนี้สหราชอาณาจักร เป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทยมาโดยตลอด โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาการค้าทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและสหราชอาณาจักร มีมูลค่าถึง 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา สำหรับการเติบโตด้านการค้านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อนถึงความร่วมมืออย่างลึกซึ้งระหว่างกัน
“รัฐบาลไทยมุ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่องคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า (JETCO)ซึ่งจัดตั้งขึ้นหลังแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)ถือเป็นเวทีอย่างเป็นทางการสำหรับการเจรจาทางเศรษฐกิจระดับสูงระหว่างทั้ง 2 ประเทศ โดยผ่านทาง JETCO ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการพัฒนาโรดแมปหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ประเทศไทย-สหราชอาณาจักร ซึ่งให้กรอบการทำงานที่ชัดเจนสำหรับการขยายความร่วมมือในหลากหลายภาคส่วน และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการกระชับความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ และเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน”นายพิชัย กล่าว
โดยหลังจากที่ประเทศไทยและสหราชอาณาจักร ได้บรรลุอีกหนึ่งก้าวสำคัญด้วยการลงนามในความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่เพิ่มพูน (Enhanced Trade Partnership - ETP) ซึ่ง ETP จะช่วยปลดล็อกศักยภาพของความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศ ครอบคลุมกว่า 20 ภาคส่วนสำคัญ รวมถึงการค้าดิจิทัล การเกษตร ความยั่งยืน และเทคโนโลยี โดยแผนงานที่แนบมากับ ETP ระบุถึงกิจกรรมร่วมที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะดำเนินการในภาคส่วนเหล่านี้ตลอด 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับความร่วมมือระหว่างกัน
นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาลไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการค้า การลงทุน และการทูตเชิงรุกอย่างเต็มที่ มีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสให้ธุรกิจและให้ประเทศไทยเป็นที่ประจักษ์ในระดับโลก และศักยภาพของความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหราชอาณาจักร จะไม่เพียงแต่เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังจะเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจในทั้ง 2 ประเทศ ขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองในระยะยาวสำหรับทั้ง 2 เศรษฐกิจ โดยปัจจุบันประเทศไทยได้มีการลงนามใน FTA แล้ว 15 ฉบับ กับ 19 ประเทศ รวมถึงสมาชิกอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย และกำลังเจรจาข้อตกลงกับพันธมิตรอย่างสหภาพยุโรป EFTA และเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากความพยายามของรัฐบาล ทางภาคเอกชนเองก็มีบทบาทสำคัญในความเป็นหุ้นส่วนประเทศไทย-สหราชอาณาจักร โดยสภาผู้นำธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักร (TUBLC) สภาธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักร (TUBC) หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างธุรกิจกับธุรกิจที่แข็งแกร่ง องค์กรเหล่านี้เป็นเวทีให้ธุรกิจได้มีส่วนร่วม ร่วมมือ และสร้างนวัตกรรม ทำให้มั่นใจได้ว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจยังคงมีพลวัตสำคัญ และมองไปข้างหน้าบทบาทของภาคธุรกิจทั้งในประเทศไทยและสหราชอาณาจักรจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้วิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย มุ่งที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางระดับโลกด้านการท่องเที่ยวบริการทางการแพทย์ การเกษตรและนวัตกรรม และด้วยสหราชอาณาจักรเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการเติบโตอย่างยั่งยืน จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น ปลดล็อกช่องทางใหม่ๆผ่านการเจรจาและความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อผลประโยชน์ที่จับต้องได้สู่ภาคธุรกิจและประชาชนของ 2 ประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี