‘พิชัย’ชี้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าเร็ว-มากที่สุดในภูมิภาค ทำเสียเปรียบประเทศคู่ค้า ระบุจากปัจจัยภายนอกที่สหรัฐฯปรับทิศทางดอกเบี้ย ระบุกรอบเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ย ต้องปรับสนับสนุนนโยบายรัฐ ตั้งความหวังเห็นนโยบายการเงินช่วยเศรษฐกิจโตมากขึ้น
25 กันยายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถึงค่าเงินบาทของไทยแข็งค่ามาอยู่ที่ 36.23 บาทต่อดอลลาร์ ว่า ถือว่าแข็งค่าขึ้นมาเร็วที่สุดในรอบ 19 เดือน ซึ่งกระทบกับผู้ส่งออกซึ่งอยากเห็นค่าเงินบาทอ่อน แต่คนที่ต้องมีการลงทุนในการซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี ซึ่งเรื่องนี้ต้องมาดูข้อมูลในเรื่องนี้
ทั้งนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งในขณะนี้มาจากปัจจัยภายนอกที่ธนาคารกลางสหรัฐฯที่มีดอกเบี้ยสูงในระยะเวลานานมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอย่างมีสาระสำคัญ และมีการส่งสัญญาณว่าจะลงต่อไปอีก 0.75% ซึ่งตลาดเชื่อว่าจะลงไปอีก การลงแบบนี้เม็ดเงินก็จะไหลออกจากพันธบัตรสหรัฐฯ มาสู่ตลาดที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาถือว่าแข็งค่าเร็วกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคทำให้ความสามารถแข่งขันเรื่องส่งออกของประเทศเรา
“เมื่อเทียบกับคู่ค้าแล้วถือว่าค่าเงินเราแข็งค่ากว่าคู่ค้า ไม่ว่าจะเทียบกับเงินหยวนของจีน เงินด่องของเวียดนาม เงินเยนของญี่ปุ่น รูเปียะห์ของอินโดฯ และริงกิตของมาเลเซีย ค่าเงินเราแข็งมากกว่าค่าเงินเราจึงเสียเปรียบ คนที่ดูแลเรื่องนี้ต้องจับไปเป็นปัจจัยว่าที่ค่าเงินเราแข็งค่ากว่าประเทศอื่นๆเพราะอะไร” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า ส่วนในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อของเรานั้นไม่ได้เป็นไปตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ไว้ว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ตอนนี้อัตราเงินเฟ้อยังหลุดกรอบเป้าหมายที่วางไว้ 1 – 3% ซึ่ง 8 เดือนที่ผ่านมาค่าเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.15% เท่านั้นซึ่งเมื่อเงินเฟ้อหลุดกรอบล่างแบบนี้ เกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยซึ่งรัฐบาลบอกว่าควรจะอยู่ที่ประมาณ 2% เนื่องจากเงินเฟ้อนั้นจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพราะเงินเฟ้อที่ต่ำเกินไปไม่จูงใจผู้ผลิตให้ขยายการผลิตมากขึ้น ซึ่งเรื่องกรอบเงินเฟ้อก็ถึงเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับกระทรวงการคลังต้องมานั่งคุยและตกลงกันว่าอัตราที่เหมาะสมคือเท่าไร
นายพิชัย กล่าวว่า ในเรื่องการกำหนดกรอบเงินเฟ้อก็จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการกำหนดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งหากกำหนดเงินเฟ้อไว้เป็นกรอบระดับหนึ่งแต่เงินเฟ้อยังต่ำกว่าเป้าก็แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ขึ้นก็ต้องมาดูว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในทางเศรษฐกิจมากขึ้น เศรษฐกิจของเราตกต่ำมาอย่างยาวนานเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ซึ่งเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างยาวนานซึ่งเศรษฐกิจที่ตกต่ำมานานก็จะกระทบกับเศรษฐกิจหลายเรื่องทั้งหนี้ของประชาชน และหนี้เอสเอ็มอีก็ขึ้น หนี้สาธารณะก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเราก็เห็นว่าในเรื่องของนโยบายที่จะทำคือเราต้องทำให้เศรษฐกิจเราแข่งขันให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้งบประมาณอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต รวมทั้งการชักชวนการลงทุน ซึ่งรัฐบาลใช้การกระตุ้นด้วยงบประมาณไปเต็มที่ ซึ่งสิ่งที่ประชาชนกังวลเรื่องหนี้สาธารณะต่อจีดีพีแต่รัฐบาลก็พยายามดูแลในส่วนนี้
นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาลใช้มาตรการทางการคลังไปอย่างเต็มที่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ทั้งหมดต้องสัมพันธ์กับนโยบายการเงิน ซึ่งต้องกูว่าดอกเบี้ยนโยบายจะต้องดูความเหมาะสมเพราะหากสูงเกินไปก็ไม่เอื้อให้เศรษฐกิจเติบโต ถือเป็นนโยบายที่สวนทาง ซึ่งท่าน (ธปท.) ต้องดูให้อัตราดอกเบี้ยต่ำลงหรือไม่? ซึ่งก็ต้องมองว่าหากกลัวเรื่องดอกเบี้ยต่ำแล้วเงินเฟ้อจะสูง คนใช้จ่ายมากขึ้นก็ต้องดูตัวเลขว่าขณะนี้เงินเฟ้อยังต่ำมากก็ต้องดูตัวเลขเงินเฟ้อที่ผ่านมาประกอบด้วยซึ่งที่ผ่านมาในตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมาเงินเฟ้อหลุดกรอบไป 6 ปี ใน 8 ปี ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่ต้องมาดูเพราะเงินเฟ้อเราต่ำกว่ากรอบมาโดยตลอด
“อยากจะเชิญชวน ธปท.มาทำงานร่วมกันระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง ซึ่งการดำเนินนโยบายการเงินควรมีการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ ซึ่งเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ที่วางไว้ชัดเจน ซึ่งหากลองถอดหมวกแล้วมานั่งทำงานร่วมกันก็จะสามารถหาจุดร่วมที่นโยบายการเงินและการคลังไปด้วยกันได้ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้ดีขึ้น” นายพิชัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี