ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) แถลงข่าวภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนสิงหาคม 2567 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 26,182.3 ขยายตัว 7.0% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 939,521 ล้านบาท ขยายตัว 13.0%(เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนสิงหาคมขยายตัว 6.6% ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 25,917.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 8.9% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 941,019 ล้านบาท ขยายตัว 15.0% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2567 เกินดุลเท่ากับ 264.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลในรูปของเงินบาท 1,497 ล้านบาท
ส่วนภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนมกราคม-สิงหาคม ของปี 2567 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 197,192.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 4.2% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 7,068,821 ล้านบาท ขยายตัว 9.9 % (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการ
ส่งออกในช่วงมกราคม - สิงหาคม ขยายตัว 4.3%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 203,543.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.0% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 7,378,253 ล้านบาท ขยายตัว 10.5% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ขาดดุลเท่ากับ 6,351.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นการขาดดุลในรูปเงินบาท 309,432 ล้านบาท
ทั้งนี้ สรท.คาดการณ์การส่งออกปี 2567 เติบโตไม่น้อยกว่า 2% (ณ ตุลาคม 2567) โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังในโค้งสุดท้ายของปีได้แก่ 1.ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลโดยตรงต่อการส่งออก เนื่องจากขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาลดลง ประกอบกับ ผู้ประกอบการเข้าไม่ถึงสินเชื่อ ส่งผลต่อสภาพคล่องทางธุรกิจต่อเนื่อง2.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางยังคงยืดเยื้อ การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลต่อการแบ่งขั้วอย่างชัดเจน สหรัฐฯ เริ่มมาตรการ safeguard 27 กันยายน ที่ผ่านมา กับสินค้ารถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนแผงโซลาร์เซลล์ ขณะที่ปี 2568 เริ่มมาตรการดังกล่าวกับสินค้าถุงมือยาง ชิพ และอื่นๆ 3.ดัชนีภาคการผลิต หรือ Manufacturing PMI หดตัวต่อเนื่อง แม้ยังคงมี Demand อยู่ 4.ปัญหาการขนส่งสินค้าทางทะเล ค่าระวางเรือยังคงเริ่มมีการปรับลดลงมาในหลายเส้นทางสำคัญ 5.ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นทางภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่อาจได้รับผลกระทบมากและส่งผลต่อเนื่องถึงต้นทุนวัตถุดิบและปริมาณสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดไม่เพียงพอในระยะถัดไป
“สรท.อยากเสนอว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยควรรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไปพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รัฐบาลควรทบทวนการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ไม่ให้เป็นภาระกับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs มากเกินไป และเร่งรัดการเจรจาการค้าและความร่วมมือทาง การค้าใหม่ๆ” ดร.ชาญชัยกล่าว
ขณะเดียวกัน นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเร็วมาจากหลายปัจจัย ทั้งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ย 0.50% มากกว่าที่คาดการณ์ ทำให้มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัว บวกกับเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่า และเงินหยวนของจีนแข็งค่า ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามเงินสกุลภูมิภาค แต่ยังมีเงินริงกิต ของมาเลเซีย ที่แข็งค่ามากที่สุดประมาณ 11% ส่วนเงินบาทไทยแข็งค่าในลำดับที่ 2-3 นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีปัจจัยเฉพาะจากรัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น การเริ่มดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้นและราคาทองคำก็ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่ง ธปท.เข้าดูแลในช่วงที่เงินบาทผันผวนแรง เพื่อลดผลกระทบ ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศปรับเพิ่มขึ้น
“ยอมรับว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะกระทบกับรายได้ในภาคการส่งออก ส่วนด้านปริมาณการส่งออกขึ้นอยู่กับการตกลงกับประเทศคู่ค้า ข้อกังวลผลกระทบเงินบาทต่อภาคการท่องเที่ยวนั้น ขึ้นอยู่กับนักท่องเที่ยวกลุ่มไหนมากกว่า เพราะถ้าเป็นนักท่องเที่ยวจีน และมาเลเซีย ค่าเงินประเทศเหล่านี้ก็แข็งค่าขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจึงเชื่อว่าไม่มีผลกระทบ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เงินบาทแข็งค่าที่สุดที่เคยเกิดขึ้น” นางสาวชญาวดี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี