บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้จัดการแถลงข่าวประจำปี 2567 นำโดยนายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ทีมผู้บริหารสูงสุดในแต่ละสายธุรกิจ ประกอบด้วยธุรกิจสุรา ธุรกิจเบียร์ ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ธุรกิจอาหาร ฯลฯ
ในการนี้ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วันนี้เราจะมาพูดถึง “passion 2030” ของกลุ่มไทยเบฟฯ ซึ่งมีสองเรื่องที่ต้องให้ความสนใจ คือ reach competitively คือ การพัฒนาด้านการบริการส่งมอบสินค้าและบริการให้ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพทั่วถึง พูดง่ายๆคือให้เข้าถึงลูกค้า และเรื่องที่สอง digital for growth ซึ่งมีความสำคัญเพราะตอนนี้คนใช้สมาร์ทโฟนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้ว ซึ่ง 2 เรื่องนี้ สะท้อนถึงกัน และเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพื่อรองรับการแข่งขัน ซึ่งก็จะทำในทุกปี คงไม่รอไปถึงปี 2030 ทีเดียว เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยจะทำแผนเป็น 2 ช่วง ช่วงละ 3 ปี
“เรื่องของเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับดิจิทัลถือว่ามีประโยชน์มากมาย ถ้าใช้ให้เกิดความคุ้มค่า เพราะความเชื่อมโยงในการเห็นรายละเอียดว่าเชื่อมโยงกับใคร บริษัทฯจึงยังต้องยังลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมการดำเนินธุรกิจด้านต่างๆ อาทิ ประยุกต์ใช้ระบบขายอัตโนมัติยกระดับความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต การดำเนินงาน รวมถึงการกระจายสินค้า อีกทั้งยังมีแผนที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า และเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต”
สำหรับแผนลงทุนไทยเบฟฯ ในปี 2568 (1 ต.ค. 2567-30 ก.ย. 2568) จะใช้เงินลงทุนประมาณ 18,000 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทุกธุรกิจในเครือที่ยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ในปี 2573 อาทิ ลงทุนฟาร์มโคนมที่ประเทศมาเลเซีย 8,000 ล้านบาท โรงงานชาเขียวและเบียร์ที่ประเทศกัมพูชารวม 2,500 ล้านบาท ฯลฯ ซึ่งเป็นงบลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่วางไว้ปีละ 7,000-8,000 ล้านบาท โดยเพิ่มมาจากธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หลังไทยเบฟได้โอนหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ในบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ หรือF&N ในสิงคโปร์ให้กับบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์
กลุ่มธุรกิจอาหารจะใช้เงินลงทุน 1,300 ล้านบาท เปิดร้านเพิ่มกว่า 600 ร้านและปรับปรุงร้านใหม่ เช่น เคเอฟซี โออิชิเป็นต้น โดยมี 16 ร้านที่จะเปิดในโครงการวันแบงค็อกใช้เงินลงทุน 400 ล้านบาท ขณะที่รายได้คาดจบปีนี้อยู่ที่ 19,000-20,000 ล้านบาท และปี 2573 คาดมีรายได้แตะ 28,000 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมของธุรกิจอาหารในไทยอยู่ในช่วงท้าทาย เรื่องต้นทุนและค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐมีนโยบายจะปรับขึ้น
สำหรับผลการดำเนินในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ออกมาดีเช่นเดียวกับ 5 ปีที่ผ่านมาโดยมีรายได้จากการขายรวม 217,055 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี อยู่ที่ 38,595 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% โดยได้รับแรงหนุนจาก ธุรกิจเบียร์และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ อันเป็นผลจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าที่ผ่านมามีความท้าทายด้านการดำเนินงานและต้นทุน เป็นผลจากความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาคและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แต่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคมาได้ ด้วยการบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้หากแยกรายธุรกิจสำหรับธุรกิจสุรามีรายได้จากการขาย 92,788 ล้านบาท ลดลง 0.9%จากปีก่อนและมีกำไรลดลง 1.3% มาจากปริมาณขายรวมที่ลดลง 2.7% เนื่องจากการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทย แต่ชดเชยด้วยธุรกิจในประเทศเมียนมาที่ยังคงเติบโตและมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากปีก่อนทั้งรายได้จากการขายและกำไร หลังจากนี้นอกจากการเพิ่มกำลังผลิตสุราพรีเมียมในต่างประเทศ จะทำตลาดสุราพรีเมียมสัญชาติไทยในตลาดโลก โดยมี PRAKAAN (ปราการ) ซิงเกิลมอลต์วิสกี้เป็นตัวขับเคลื่อน เจาะผู้บริโภคในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น
ส่วนธุรกิจเบียร์มีกำไรเติบโต 10.2% ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น 0.6% เป็น 93,793 ล้านบาท จากการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ลดลง แม้ปริมาณขายรวมจะลดลง 2.9% ซึ่งธุรกิจเบียร์ในประเทศไทยมีปริมาณการขายที่เติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะช่วงกลางปี 2567 จากการท่องเที่ยวฟื้นตัวและสภาพอากาศร้อนส่งผลให้มีการบริโภคเพิ่มขึ้น ส่วนในเวียดนามยังเผชิญความท้าทายการบริโภคที่ลดลง จากสภาวะเศรษฐกิจมหภาค ทั้งนี้ นอกจากการลงทุนในกัมพูชาแล้ว ในประเทศไทยจะดำเนินกลยุทธ์อื่นๆ เสริม อาทิ เพิ่มสัดส่วนพื้นที่บนชั้นวางสินค้าในร้านค้า รวมถึงพัฒนาตราสินค้าแมสพรีเมียมใหม่ๆ ซึ่งตลาดเบียร์ในประเทศไทย แม้จะมีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เข้ามา ก็ถือเป็นเรื่องดีและปกติ ทุกคนต้องทำมาค้าขาย เราถือว่าเป็นตลาดเปิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการบริโภคของลูกค้ามากกว่า
สำหรับธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ มีรายได้จากการขาย 15,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้น4.9% ตามปริมาณขายเพิ่มขึ้น 5.3% มีปัจจัยหลักมาจากกิจกรรมส่งเสริมตราสินค้าที่ประสบความสำเร็จและการขยายการกระจายสินค้า และมีกำไรที่ 1,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% จากประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้นและต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง ขณะที่ธุรกิจอาหาร มีรายได้จากการขาย 15,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากการขยายธุรกิจต่อเนื่อง ส่วนกำไรลดลง 0.6% เป็น 1,438 ล้านบาท เพราะต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
ส่วนในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปี 2567 บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมศักยภาพการทำธุรกิจและชิงความได้เปรียบในการแข่งขันอย่าง
ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ และนอนแอลกอฮอล์ระดับอาเซียนและระดับโลก โดยธุรกิจเบียร์ ได้เริ่มสร้างโรงงานผลิตเบียร์ในกัมพูชาจะแล้วเสร็จต้นปี 2569 มีกำลังผลิตเริ่มต้น 50 ล้านลิตร รองรับดีมานด์ตลาดเบียร์กัมพูชาที่เติบโตเร็วที่สุด และใหญ่เป็นอันดับ 4 ของอาเซียนในด้านปริมาณการขาย ยังมีปริมาณการบริโภคสูงถึง 10 ล้านเฮกโตลิตรต่อปี สะท้อนถึงศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจของตลาด
ด้านธุรกิจสุรามีแผนลงทุนขยายกำลังผลิตวิสกี้ในประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดสุราพรีเมียม ขณะที่ธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์เดินหน้าลงทุนในโครงการฟาร์มโคนมที่ริเริ่มโดย F&N สร้างความได้เปรียบในธุรกิจในอาเซียนและรองรับดีมานด์นมในมาเลเซียที่กำลังเกิดปัญหาขาดแคลนนม และเป็นโอกาสต่อยอดธุรกิจในมาเลเซียเป็นฮับด้านอาหาร-เครื่องดื่มฮาลาล เจาะตลาดประเทศมุสลิมอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย ในอนาคตอีกด้วย
“ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปี 2567 เชื่อมั่นจะมีทิศทางดีขึ้นเนื่องจากภาครัฐต้องเร่งกระตุ้นการเติบโตและการฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจ การจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น ทำให้แนวโน้มไตรมาสสุดท้ายทุกอย่างคึกคัก แม้มีความท้าทายในวิกฤตต่างๆ แต่ทิศทางในอนาคตทุกคนต้องมองว่าจะดีขึ้นอย่างไรก็ตาม มองว่าด้วยภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่ลดลง คาดว่ายอดขายสุราและเบียร์จะลดลงลากยาวไปถึงปี 2568”
อนันตเดช พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี