นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า บริษัท โฟตอน ซีพี มอเตอร์ จำกัด นำโดย นายจาง เจิงซวง กรรมการผู้จัดการ นายชัชชัย นาคประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหารระดับสูง ได้เข้ามาพบเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสได้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม และร่วมหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย
โดยในการหารือครั้งนี้คณะผู้บริหาร โฟตอน ซีพี มอเตอร์ ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ และโฟตอน มอเตอร์ กรุ๊ป จากประเทศจีน รวมทั้งยังได้เชิญเข้าร่วมพิธีเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 โดยโรงงานแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าและยานยนต์เพื่อการพาณิชย์สำคัญ คาดจะสามารถผลิตได้ไม่น้อยกว่า 6,000 คันต่อปี ภายใน 5 ปีแรก เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย
นายเอกนัฏ กล่าวว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสีเขียว นอกจากนี้ ยังได้ขอบคุณทางบริษัท เรื่อง Local content ที่ให้การสนับสนุน SME ไทย ใช้ชิ้นส่วนประกอบจากผู้ผลิตภายในประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่กระทรวงกำลังผลักดันอย่างจริงจังเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศที่เข้มแข็งและยั่งยืน
“การพัฒนาอุตสาหกรรมในวันนี้ไม่เพียงแต่ต้องตอบสนองต่อความต้องการทางเศรษฐกิจ แต่ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเป็นทางออกสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions) และช่วยลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ เราจะต้องร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่สะอาดและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการลดขยะอุตสาหกรรมและการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ” นายเอกนัฏ กล่าว
นอกจากนี้การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะช่วยเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว กระทรวงพร้อมที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และ SME โดยเฉพาะผู้ผลิตชิ้นส่วนที่สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและเสริมสร้างเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น
โดยการหารือครั้งนี้ยังได้เน้นถึงการพัฒนาและส่งเสริมการผลิตรถยนต์พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยการสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถือเป็นนโยบายสำคัญที่กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งการสร้างความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมที่ต้องปฏิบัติตามกติกาการค้าสากล ที่ทุกประเทศต่างให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กระทรวงในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลได้เดินหน้าสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรมได้ตามกำหนดในปี ค.ศ. 2050 ที่กำหนดให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิต้องเป็นศูนย์ (net zero) ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยที่มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมป้องกันประเทศในอันดับต้นๆ ของอาเซียน และกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรที่มีจุดแข็งด้านคุณภาพการรักษาและค่ารักษาพยาบาล ส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยได้ออกมาตรฐานที่สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าวเพิ่มอีก 55 มาตรฐาน เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และรองรับ การเติบโตของธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรม New S-curve
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี