นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนของปี 2567 (มกราคม-กันยายน 2567) บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 380,660 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน จากปริมาณการขายของบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จํากัด (มหาชน) หรือเอสซีจีซี และบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจีพี
โดยส่งผลให้มีกำไรก่อนหักต้นทุนภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 38,765 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10% และมีกำไรอยู่ที่ 6,854 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนถึง 75% ทั้งนี้เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายการเดินเครื่องโครงการลองเซิน ปิโตรเคมีคอลส์ (LSP) ประกอบกับส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
“ส่งผลให้ไตรมาส 3 ของปี 2567 นี้บริษัทมีรายได้ 128199 ล้านบาท EBITDA อยู่ที่ 9,879 ล้านบาท และมีกำไร 721 ล้านบาทลดลงจากไตรมาสก่อนถึง 81% ดังนั้นบริษัทจำเป็นต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและรัดกุม โดยตั้งเป้าหมาย 1.ลดต้นทุนภาพรวมองค์กร 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2568, 2.ลดเงินทุนหมุนเวียนลง 10,000 ล้านบาท ภายในไตรมาสแรกปี 2568, 3.และยกเลิกกิจการที่ไม่ทำกำไร เช่น SCG Express และธุรกิจด้านดิจิทัลเทคโนโลยี OITOLABS ในประเทศอินเดีย และยังมีกิจการที่อยู่ระหว่างพิจารณายกเลิกเพิ่มเติมอีกประมาณ 300 กิจการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2568 และ 4.ขายสินทรัพย์ (Asset Divestment) เพิ่มความคล่องตัวและมุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพทางการเงิน”นายธรรมศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้จะเน้นยกระดับประสิทธิภาพการผลิต และรักษา EBITDA ให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ เช่น เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนโรงงานปูนซีเมนต์ในไทย 50% ภายในปี 2567 นี้ การใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติผลิตกระเบื้องที่มีความแม่นยำรวดเร็ว ลดวัสดุเหลือใช้ เป็นต้น คาดว่าจะทำให้เป้าหมายรายได้ปี 2567 นี้เติบโตได้ 3% จากปีก่อน ขณะเดียวกันเอสซีจีมีการลงทุนในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย
“อย่างไรก็ตามปัจจุบันต้องยอมรับว่ายังอยู่ในช่วงของความท้าทายมากๆ โดยเฉพาะธุรกิจเคมิคอลที่ทั่วโลกอยู่ในสถานการณ์ที่ติดลบ แต่ก็จะเป็นแค่ช่วงนี้เท่านั้นที่ต้องผ่านไปให้ได้ เนื่องจากความต้องการเคมีภัณฑ์โลกชะลอตัว ดังนั้นจึงต้องรู้สร้างศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ด้วยการลงทุนการปรับปรุงกระบวนการผลิต LSP เพื่อให้สามารถรับก๊าซอีเทนในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพราะเป็นวัตถุดิบที่ต้นทุนสามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลก โดยจะใช้งบลงทุนประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างทางรับก๊าซอีเทน และสาธารณูปโภคการปรับวัตถุดิบในการผลิต”นายธรรมศักดิ์ กล่าว
ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและที่อยู่อาศัย ในภาพรวมยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ขณะที่ตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้างของไทยหลายอย่างชะลอตัวจากโครงการก่อสร้างต่างๆ ที่ชะลอตัว และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดย เอสซีจี ซีเมนต์ แอนด์ กรีนโซลูชั่น ได้ลงนามร่วมกับบริษัท Samsung e&a ประเทศเกาหลีใต้ นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยเฉพาะการนำ T3D ปริ้นติ้งมอร์ตาร์ สามารถขึ้นรูปด้วยใช้งานที่มีความซับซ้อน ไปจนถึงการก่อสร้างอาคารหลายชั้น ส่งมอบลอตแรกไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย และพร้อมขยายแผนตลาดไปยังภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี