ข่าวดี!‘นายกฯ’ประกาศมาตรการจูงใจนักลงทุนต่างชาติ ถ่ายทำอุตสาหกรรมหนังในไทย ได้รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 30% จากเดิม 20% เชื่อสร้างงาน เพิ่มโอกาสคนไทย เตรียมประสานมหาวิทยาลัยชั้นนำ เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา เพิ่มทักษะการทำงาน
เมื่อเวลา 11.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นของนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 15 ชั่วโมง) วันที่ 13 พ.ย.67 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการหารือกับภาคเอกชนในนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ว่า ได้หารือกับ บริษัทเวสเทิร์น ดิจิทัล หรือ ดับเบิ้ลยูดี ซึ่งมีโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยแล้ว 2 แห่ง ประกอบด้วย จ.พระนครศรีอยุธยา และจ.ปราจีนบุรี ซึ่งจะทำเรื่องฮาร์ดไดรฟ์เป็นหลัก และมีลูกค้า อาทิ Google , Microsoft และ Amazon เป็นต้น
แต่มาในครั้งนี้บริษัทดับเบิ้ลยูดี ได้ผลักดันเรื่องพลังงานสะอาดเพิ่มมากยิ่งขึ้น จึงถือเป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทยที่จะได้ประสานงานและส่งเสริมตรงนี้ให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากบริษัทดับเบิ้ลยูดีตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2030 จะเดินหน้าการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้นจาก 50% กลายเป็น 100% ทางบริษัทจึงได้ขอความร่วมมือรัฐบาลไทยและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)ให้สนับสนุนในเรื่องนี้ จึงเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ๆเกิดโอกาสการจ้างงาน และเกิดงานใหม่ๆให้กับคนไทยแน่นอน แต่การที่จะให้คนไทยไปทำงานในบริษัทเหล่านี้ จะต้องส่งเสริมในเรื่องของภาษาและทักษะด้วย เพื่อให้เข้าไปทำงานปรับตัวได้ง่ายขึ้นและสามารถสื่อสารได้ ฉะนั้นต้องพูดคุยกับมหาวิทยาลัยต่างๆต่อ เพื่อให้เรามีศักยภาพที่เพียงพอ
นายกฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยกันถึงเรื่องอัพสกิลและรีสกิลด้วย โดยไทยได้บอกไปแล้ว ว่าต้องการจะขับเคลื่อน 2 สิ่งนี้ เพื่อพัฒนาบุคลากรในประเทศ ซึ่งไทยมีนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะอยากให้คนไทยมีทักษะการทำงานเกี่ยวกับสาขาเทคโนโลยีเอไอ และการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นต่อจากนี้จะมีการประสานให้ความรู้ และทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆของประเทศไทยเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา (R & D Center) ร่วมกัน เพื่อสร้างงานและสร้างอาชีพให้กับคนไทย
นายกฯ ยังกล่าวถึงการพูดคุยกับบริษัทโมชั่น พิกเจอร์ และบริษัทอื่นๆ อาทิ เอชบีโอ , อเมซอน , เน็ตฟลิกซ์ , ดิสนีย์ และ ยูนิเวอร์ซัล สตูดิโอ ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีการลงทุนและถ่ายทำในประเทศไทยอยู่แล้ว โดยปีที่แล้วปีเดียวมีหนังมาถ่ายที่เมืองไทยถึง 450 เรื่อง จาก 40 ประเทศ ขณะที่สหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมีจำนวน 34 เรื่อง จึงถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก ทั้งนี้ วันนี้ไทยได้ประกาศว่ารัฐบาลมีมาตรการให้สิทธิประโยชน์ในเรื่องของเครดิตเงินคืน (cash rebate)กับภาคเอกชน คือ เมื่อมาถ่ายทำในประเทศไทยจะได้รับเงินคืน โดยไทยได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ในรูปแบบของการคืนเงินสูงสุด 30% จากเดิม 20% และเมื่อได้คุยกับทุกๆบริษัทก็พบว่าทุกคนดีใจมาก เพราะแทนที่จะไปถ่ายทำในประเทศอื่นใกล้ๆ กลายเป็นมาลงทุนในประเทศไทยแทน
นายกฯ กล่าวอีกว่า ทางบริษัทต่างๆจึงตื่นเต้นมากในเรื่องนี้ และระบุว่าจะกลับไปบอกคนในธุรกิจของเขาว่าประเทศไทยมีนโยบายนี้และผ่านแล้ว เพื่อที่ทุกคนจะได้มาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งฟังแล้วก็น่าดีใจ เพราะเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องดี ขณะเดียวกัน ตนก็เชื่อเรื่องนี้ก็จะเพิ่มโอกาสให้กับคนไทยด้วย เพราะจะเกิดการจ้างงานมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนอยากเห็น ขณะเดียวกัน นายกฯยังระบุว่ารัฐบาลพยายามจะสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ ( Eco system)ในเรื่องของภาพยนตร์เหล่านี้ โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเขียนบท การถ่ายทำ และทุกอย่างที่เกี่ยวกับการถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งหมด เพื่อให้ทำงานเป็นระบบมากยิ่งขึ้น โดยจะพยายามร่วมมือกันให้คนไทยมีความรู้และมีอาชีพ เพื่อให้สามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้ง่ายขึ้น รวมถึงมีการพูดคุยกันถึงมาตรการลดขั้นตอนทางกฎหมายต่างๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกและเป็นแรงจูงใจในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย
นายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยืนยันว่าการเดินทางมาเยือนลอสแอนเจลิสในครั้งนี้ รัฐบาลขับเคลื่อนไปหลายอย่าง อาทิ การดึงดูดการลงทุน และยกระดับการพัฒนาศักยภาพของคนไทย ด้วยเหตุนี้ จึงรู้สึกว่าการมาตอกย้ำในเรื่องการลงทุนด้วยตัวเอง ทำให้ภาคเอกชนมั่นใจว่า เรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี