Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังต้องเผชิญความไม่แน่นอน ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงด้านต่ำต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะข้างหน้า โดยเฉพาะสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นชัดเจน จากการประกาศขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯตามนโยบายของว่าที่ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในเดือนมกราคม 2568 โดยจากรายงาน Word Economic Outlook (WEO) ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่ยกระดับ นอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศแล้ว ยังจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัว และสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงิน ซึ่งต่างเป็นปัจจัยลบที่กดดันจีดีพีของประเทศต่างๆ รวมถึงสหรัฐฯ
ทั้งนี้ในภาพรวมการเพิ่มกำแพงภาษีรอบใหม่จะปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าต่อประเทศต่างๆ ประมาณ10-20% ส่วนจีนจะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 60% แรงกดดันซึ่งพุ่งเป้าต่อจีนเป็นหลักดังกล่าว นอกจากจะส่งผลลบต่อการส่งออกและจีดีพีของจีนแล้วยังกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในเอเชียรวมถึงไทยทั้งจากการชะลอตัวของการส่งออกไปจีน การแย่งตลาดต่างประเทศรวมถึงการตีตลาดในประเทศของสินค้าจีน ทั้งนี้จีนถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นคู่ค้าหลักอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนถึง 12% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
Krungthai COMPASS ระบุอีกว่าสำนักวิจัยต่างประเทศบางแห่งมองจีดีพีไทยมีโอกาสโตเพียง 2% สะท้อนว่า การประมาณการจีดีพีปี 2568 ของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) มีความเสี่ยงที่ตัวเลขจะออกมาต่ำกว่าที่คาด โดยเฉพาะการส่งผ่านผลกระทบจากสงครามการค้าต่อจีนมายังไทย ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนคาดว่าอัตราการเติบโตของจีนในปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 4% หรือต่ำกว่านั้น จากการประเมินความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างกันพบว่า จีดีพีของไทยและจีนมีความสัมพันธ์ค่อนข้างสูง (Corr=0.57) หากจีนโตช้าลงจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ส่วนหนึ่งต้องพึ่งพาจีน จึงมีความเป็นไปได้ที่จีดีพีของไทยอาจโตต่ำกว่าที่คาด โดยบางรายประเมินว่าจีดีพีในปี 2568 ของไทยอาจโตได้เพียง 2% เท่านั้น
อนึ่ง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมาสภาพัฒน์ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้ในช่วง 2.3% ถึง 3.3% (ค่ากลาง 2.8%) มีแนวโน้มเติบโตได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2567 จากปัจจัยสนับสนุนทั้ง 1. การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ ตามกรอบวงเงินงบประมาณประจำปีและรายจ่ายเหลื่อมปีงบประมาณ 2568 2. แนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนซึ่งคาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง3. การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายรับภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น และ 4. การขยายตัวต่อเนื่องของส่งออกสินค้า ส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากวัฏจักรขาขึ้นของสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ดี สภาพัฒน์มองว่าเศรษฐกิจในปีหน้ายังมีปัจจัยกดดันจาก 1. ภาวะผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงด้านต่ำต่อการขยายตัวต่ำกว่าคาดของเศรษฐกิจและการค้าโลก 2. ภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนและธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง และ 3. ความผันผวนในภาคเกษตรทั้งเชิงผลผลิตและราคา อีกทั้งยังต้องติดตามสภาพอากาศที่มีความแปรปรวนสูง
ขณะที่ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงการจัดทำผลกระทบของนโยบาย “โดนัลด์ ทรัมป์” ต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า มีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยคาดจะมีผลกระทบต่อ GDP ไทยลดลง 0.87% คิดเป็นมูลค่ารวมลดลง 160,472 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. ผลกระทบทางตรงการส่งออกสินค้าของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ลดลง 108,714 ล้านบาท และ 2. ผลกระทบทางอ้อม การส่งออกวัตถุดิบของไทยในห่วงโซ่อุปทานจีน-สหรัฐฯ ลดลง 49,105 ล้านบาท และการส่งออกวัตถุดิบของไทยในห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ-จีน ลดลง 2,653 ล้านบาท
ทั้งนี้ที่นโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์อาจนำไปสู่การตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ทำให้เงินบาทอ่อนค่า และนโยบายการค้าแบบปกป้องของทรัมป์ โดยเฉพาะการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 10% สำหรับทุกประเทศ จะทำให้สินค้าส่งออกจากไทยมีต้นทุนสูงขึ้นและความสามารถในการแข่งขันลดลง ซึ่งการเก็บภาษีนำเข้า 60% สำหรับสินค้าจากจีนอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับจีน ซึ่งกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ยานพาหนะ และยางและผลิตภัณฑ์ยาง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี