นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนพฤศจิกายน 2567 จำนวน 6,266 ราย เพิ่มขึ้น 287 ราย (4.80%) เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และทุนจดทะเบียน 24,219.88 ล้านบาท ลดลง 1,053 ล้านบาท (4.17%) เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน 25,273 ล้านบาท ธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร ส่วนการจัดตั้งธุรกิจใหม่สะสม 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวน 83,219 ราย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (81,291 ราย) เพิ่มขึ้น 1,928 ราย (2.37%) ทุนจดทะเบียน 262,850 ล้านบาท ลดลง 284,006 ล้านบาท (51.93%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (546,856 ล้านบาท) และช่วง 11 เดือนที่ผ่านมามีการจัดตั้งธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 14 ราย เช่น กิจการค้าส่งและค้าปลีก จำหน่ายแว่นตาและอุปกรณ์ และกิจการ Data Center
ส่วนการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนพฤศจิกายน 2567 มีจำนวน 2,852 ราย เพิ่มขึ้น 244 ราย (9.36%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2566 และมีทุนจดทะเบียนเลิก
10,173 ล้านบาท ลดลง 7,201 ล้านบาท (41.44%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2566 (17,374 ล้านบาท) สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร และการจดทะเบียนเลิกสะสม 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม-พฤศจิกายน 2567) มีจำนวน 17,614 ราย ลดลง 244 ราย (1.37%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (17,858 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 136,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28,350 ล้านบาท (26.32%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (107,729 ล้านบาท) โดยในช่วงเวลา 11 เดือนที่ผ่านมามีธุรกิจทุนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จดทะเบียนเลิกทั้งสิ้น 10 ราย เป็นประเภทธุรกิจที่หลากหลาย เช่น กิจการโทรคมนาคม โรงงานผลิต จำหน่าย ให้เช่าเทปคาสเซ็ตต์ แผ่นเสียง และค้าปลีกผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
สำหรับการลงทุนประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ 11 เดือน มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 884 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 202 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) จำนวน 682 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 213,964 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 3,671 คน มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 281 ราย คิดเป็น 32% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 161 ราย (134%) โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม (สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์) ธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบส่วนประกอบและชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อค้าส่งในประเทศ ธุรกิจบริการระบบซอฟต์แวร์ฐานธุรกิจบริการชุบแข็ง ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานพาหนะ ชิ้นส่วนโลหะ ชิ้นส่วนพลาสติก เป็นต้น
นอกจากนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้นำข้อมูลการจดทะเบียนธุรกิจเชิงลึกมาทำการวิเคราะห์ธุรกิจดาวรุ่งและธุรกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย/ต้องเร่งปรับตัว โดยได้นำข้อมูลด้านการจดทะเบียนธุรกิจ เช่น จำนวนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ ผลประกอบการ (กำไร-ขาดทุน) การเลิกประกอบกิจการ รวมทั้ง ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น แนวโน้มธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ กระแสความนิยม นโยบายภาครัฐ ดัชนีทางเศรษฐกิจ สถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ และการแข่งขันของธุรกิจ ซึ่ง 5 ธุรกิจดาวรุ่ง ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกาย 2. กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและความบันเทิง 3. กลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 4. กลุ่มธุรกิจ e-Commerce 5. กลุ่มธุรกิจการผลิตภาพยนตร์ และ 5 ธุรกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย/ต้องเร่งปรับตัว ได้แก่ 1. ธุรกิจการผลิตเหล็ก โลหะมีค่า และอัญมณี 2. ธุรกิจร้านค้าส่งค้าปลีกแบบออฟไลน์ (ร้านค้าโชห่วย) 3. ธุรกิจสื่อและการประชาสัมพันธ์แบบออฟไลน์ 4. ธุรกิจแปรรูปสินค้าทางการเกษตร 5. ธุรกิจตัวแทนและนายหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี