นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซาบีน่า หรือ SABINA เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง มีมติเห็นชอบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2568 โดยให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มในอัตราวันละ 7-55 บาท เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.9% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไปนั้น SABINA ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำดังกล่าว เนื่องจากได้เตรียมรับมือล่วงหน้าแล้วเป็นเวลา 2 ปีไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการโครงสร้างพนักงาน การบริหารจัดการโครงสร้างค่าใช้จ่าย รวมถึงการพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อนำไปสู่การลดต้นทุนเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายด้านค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
“เราเริ่มนำระบบ “ลีน” (Lean Manufacturing) มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียหรือ waste ต่างๆ ในกระบวนการผลิต หลังจากใช้ระบบ “ลีน” จนทำให้กระบวนการผลิตกระชับขึ้น และสามารถบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน เรายังพบว่างานบางส่วนไม่จำเป็นต้องใช้จำนวนคนเท่าเดิม เราจึงเพิ่มเรื่องของการฝึกทักษะ ทั้ง Multi-Skill และ Up-Skill ให้พนักงานได้พัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สามารถใช้เครื่องมือที่ทันสมัยได้ ด้วยวิธีนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น ต้นทุนลดลงและบริษัทฯ สามารถดูแลคนทำงานได้ดีขึ้นดังนั้น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในรอบนี้ SABINA จะไม่ได้รับผลกระทบและจะสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี ด้วยการวางระบบและจัดโครงสร้างต่างๆ ที่เราทำมาแล้วอย่างเข้มข้น”
ก่อนหน้านี้ได้วางแผนให้โรงงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น โรงงานยโสธร ชัยนาท ท่าพระ และพุทธมณฑลสาย 5 ได้ทดลองทำเวิร์กช็อปรับมือกับค่าแรงขั้นต่ำในอัตรา 400 บาท ทำให้ทุกโรงงานมองเห็นภาพว่า ถ้าค่าแรงปรับขึ้นจริง จะควบคุมต้นทุนอย่างไร จากการบริหารจัดการและการทำเวิร์กช็อปอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2566 ทำให้ทุกโรงงานเห็นจุดแข็งและจุดอ่อน และเมื่อการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีผลบังคับใช้จริง จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
ส่วนที่ถือว่าเป็นปัจจัยบวกสำหรับSABINAคือค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ปรับขึ้น 400 บาท อัตราเดียวทั้งประเทศ แต่เป็นการปรับขึ้นแบบแบ่งเป็น 17 อัตรา ตามค่าครองชีพและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การที่ต้นทุนค่าแรงจะไม่ได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นในเรทสูงสุดอัตราเดียวถือเป็นเรื่องที่ดีในส่วนของต้นทุนค่าใช้จ่ายขณะเดียวกันอาจจะได้รับปัจจัยสนับสนุนด้านการขายจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากสินค้าSABINA เป็นสินค้าในกลุ่มอุปโภค-บริโภค และช่วงไตรมาสแรกของปี จะเป็นช่วงที่ผู้บริโภคมีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย ผนวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่อนุมัติโครงการอีซี่ อี-รีซีท (Easy E-receipt) 2.0 ที่ผู้บริโภคสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการจับจ่ายใช้สอยกับร้านค้าที่ออกใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ วงเงิน 50,000 บาท ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 ไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2568 จะสนับสนุนยอดขายอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี