เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ได้ระบุเป็นตอนที่ 23 ถึงประโยชน์ของการเดินสายกลางในนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาท/ดอลล่าร์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ในอดีต ประเทศไทยใช้อัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างแข็ง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย Fixed Exchange Rate Policy ที่ 23 บาท/ดอลล่าร์ ภายหลังวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งก็เปลี่ยนมาเป็น Free Floating Rate จนเงินบาทอ่อนลงถึง 53 บาท/ดอลล่าร์ จึงเปลี่ยนมาเป็น Managed Floating Rate อัตราแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่กับตลาดการเงินโดย ธปท. คอยดูแลไม่ให้เงินบาทอ่อนเกินไปหรือแข็งไป จนกระทั่งเงินบาทแข็งขึ้นถึงระดับ 36.5 บาท/ดอลล่าร์ ในขณะที่ D:EU = 1.085 ดอลล่าร์เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว แต่ต่อมาก็เกิดการเก็งกำไรจากผู้ก่อการร้ายนิวยอร์ก ปั่นค่าเงินบาทให้แข็งขึ้นเป็น 32.40 บาท/ดอลล่าร์ (ควรจะเป็น 35.36 บาท/ดอลล่าร์) ในขณะที่ D:EU = 1.12 และขณะนี้ D:EU = 1.041 ธปท. ก็ยังปล่อยให้เป็น 34.07 บาท/ดอลล่าร์ ซึ่งถ้าคำนวณตาม EU/D เงินบาท/D ควรจะเป็น x 1.085 = 38.04 การที่ ธปท. ปล่อยค่าเงินบาทแข็งขึ้นมามากโดยไม่เข้าแทรกแซงเพราะการที่ไปศึกษาที่อเมริกามา
โดยที่มีแต่การสอนทำให้เงินแข็ง เพราะจะได้มีชื่อเสียง และประชาชนสามารถซื้อของนำเข้าจากอเมริกาได้มากๆ โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนตามหลักการบริหารนโยบายการเงินที่สอนกันในอเมริกา แต่ที่เขาไม่ได้สอนกันในเรื่อง การเดินทางสายกลางมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทำเงินบาทให้อ่อนในระดับกลางเพื่อได้เงินตราต่างประเทศเข้ามา เมื่อได้เงินตราต่างประเทศมามากแล้ว ก็ไม่ปล่อยให้เงินบาทอ่อนเกินไป (อ่อนกว่า 38-40 บาท/ดอลล่าร์) จะมีผลทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองอย่างไร ประชาชน สุขสบายอย่างไร กลับกันจากการที่ปล่อยให้เงินบาทแข็งไปเรื่อยๆ (แข็งกว่า 34 บาท/ดอลล่าร์) แล้วทำให้ส่งออกไม่ได้ นำเงินตราต่างประเทศเข้ามายาก เกิดการขาดดุลการค้า การชำระเงิน โรงงานปิดกันไปทั่ว คนตกงานไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย หนี้ครัวเรือนกลายเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ สถาบันการเงินเลิกปล่อยกู้และต้องเพิ่มทุน ประเทศเกิดกลียุค ประชาชนเดือดร้อนไปทั่ว
ปัจจุบันตำราเรียนที่สอนเกี่ยวกับการควบคุมนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในอเมริกามีองค์ประกอบหลักหลายประการ ดังนี้
1. ธนาคารกลาง: ธนาคารกลางเป็นสถาบันหลักที่รับผิดชอบในการกำหนดและดำเนินนโยบายการเงิน โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมาย เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ย การดำเนินการในตลาดเปิด และข้อกำหนดการสำรองเงินตรา
2. เงินเฟ้อ: การควบคุมเงินเฟ้อเป็นเป้าหมายพื้นฐานของนโยบายการเงิน ธนาคารกลางมุ่งหวังที่จะรักษาเสถียรภาพราคาเพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจทำงานได้อย่างราบรื่น
3. การเติบโตทางเศรษฐกิจ: นโยบายการเงินใช้เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ธนาคารกลางอาจปรับนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือทำให้เศรษฐกิจเย็นลงในช่วงที่เศรษฐกิจตึงตัวเกินไป
4. การจ้างงาน: ระดับการจ้างงานที่สูงมักเป็นเป้าหมายของนโยบายการเงิน ธนาคารกลางบางแห่งมีภารกิจสองประการในการมุ่งเน้นทั้งเสถียรภาพด้านราคาและการจ้างงานสูงสุด
5. อัตราแลกเปลี่ยน: อัตราแลกเปลี่ยนอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงิน โดยเฉพาะในประเทศที่มีการค้าต่างประเทศจำนวนมาก Federal Reserve (FED) หรือธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพหรือมีอิทธิพลต่อมูลค่าของสกุลเงิน ซึ่งในอเมริกา ไม่มีการปรับเปลี่ยนมาจนถึงปี ค.ศ.1971 เมื่อ NIXON ลอยค่าเงินดอลล่าร์จากทองคำ $35/Troy ounce เป็นการลดค่าเงินดอลล่าร์จากทองคำ แต่ไม่ยุ่งกับเงินสกุลอื่นทำให้นักศึกษาในอเมริกาเรื่องนโยบายการเงินไม่มีความรู้เรื่องกลไกของการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน และผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากเรียนรู้แต่เพียงว่าต้องทำให้เงินแข็งเพื่อชื่อเสียงของประเทศ แต่ไม่รู้ว่าถ้าเงินแข็งเกินไปจะทำให้ประเทศเสียหายล่มจมอย่างไร และทำให้เสียชื่อเหมือนต้มยำกุ้งไทยในที่สุด
6. เสถียรภาพทางการเงิน: การรับประกันเสถียรภาพของระบบการเงินเป็นเป้าหมายอีกประการหนึ่ง ธนาคารกลางตรวจสอบและจัดการความเสี่ยงทางการเงินเพื่อป้องกันวิกฤต
7. นโยบายรัฐบาล: นโยบายการคลังและการตัดสินใจของรัฐบาลสามารถมีอิทธิพลต่อนโยบายการเงิน การประสานงานระหว่างนโยบายการเงินและการคลังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิผลทางเศรษฐกิจโดยรวม
8. ภาวะเศรษฐกิจโลก: แนวโน้มทั่วโลก เช่น ความสัมพันธ์ทางการค้าและการไหลเวียนของเงินทุนระหว่างประเทศ ส่งผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินในประเทศ
9. ความคาดหวังของประชาชน ธนาคารกลางพิจารณาความคาดหวังของประชาชนเกี่ยวกับเงินเฟ้อและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากสามารถส่งผลต่อผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่แท้จริงได้
10. กรอบนโยบายการเงิน: การจัดตั้งสถาบันของประเทศ ไม่ว่าจะปฏิบัติตามเป้าหมายเงินเฟ้อ เป้าหมายทางการเงิน หรือกรอบอื่นๆ จะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ปัจจัยเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับบริบททางเศรษฐกิจเฉพาะ โครงสร้างทางกฎหมาย และกรอบสถาบัน
ธนาคารกลางในอเมริกาจะไม่สนใจให้อัตราแลกเปลี่ยนของดอลล่าร์อ่อนค่า เพราะความยิ่งใหญ่ของเขา แต่ถ้าเป็นธนาคารประเทศไทย เราต้องศึกษาผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ และความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมากมายทั้งดีและร้ายหลายอย่างแล้วแต่ ธปท. จะมีเป้าหมายอันใด ดังนี้
1. ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน: เมื่อมูลค่าของสกุลเงินของประเทศผันผวน มันสามารถมีอิทธิพลต่ออัตราเงินเฟ้อภายในประเทศและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การแข็งค่าของเงินตราสามารถทำให้การนำเข้าลดลง ลดอัตราเงินเฟ้อได้ แต่ยังสามารถทำให้การส่งออกมีราคาแพงขึ้นและเป็นอันตรายต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศด้วย ในทางกลับกัน การอ่อนตัวของค่าเงินจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก แต่เพิ่มราคานำเข้าซึ่งมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
2. การควบคุมเงินเฟ้อ: ธนาคารกลางอาจปรับอัตราดอกเบี้ยหรือใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพของสกุลเงินและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เช่น หากการปรับลดค่าเงินนำเข้านำเข้าและอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ธนาคารกลางก็อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อได้
3. นโยบายอัตราดอกเบี้ย: อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง การอ่อนตัวของค่าเงินอาจนำไปสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศและสร้างเสถียรภาพให้กับค่าเงิน (แต่ถ้าประเทศมีเงินตราต่างประเทศอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย) ในขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจเป็นการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
4. กระแสเงินทุนไหลมาเทมา: อัตราแลกเปลี่ยนอาจส่งผลกระทบต่อการไหลของเงินทุนที่มีอิทธิพลต่อความพร้อมของสินเชื่อและการลงทุนในเศรษฐกิจ การไหลเข้าหรือไหลออกของเงินทุนจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินและบังคับให้ธนาคารกลางต้องปรับนโยบายการเงินตามนั้น แต่ถ้าประเทศมีเงินตราต่างประเทศจำนวนมากอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องนำมาพิจารณา
5. ดุลการชำระเงิน: อัตราแลกเปลี่ยนมีบทบาทสำคัญต่อดุลการชำระเงินของประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อดุลการค้า การลงทุนจากต่างประเทศ และเงินสำรอง การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องอาจกดดันค่าเงินและบังคับให้มีการปรับนโยบายการเงินเพื่อแก้ไขความไม่สมดุล
6. สภาพเศรษฐกิจโลก: อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศได้รับอิทธิพลจากภาวะเศรษฐกิจโลก เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่แข่งสำคัญ ธนาคารกลางจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยภายนอกในการกำหนดนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
7. การคาดการณ์และการเก็งกำไร: ความคาดหวังของตลาดและกิจกรรมเก็งกำไรสามารถผลักดันการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ธนาคารกลางต้องแทรกแซงตลาดเงินตราต่างประเทศโดยตรง หรือปรับนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
สรุปแล้ว นโยบายการเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด โดยแต่ละฝ่ายมีอิทธิพลต่ออีกฝ่าย ผู้กำหนดนโยบายต้องพิจารณาพลวัตของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบเมื่อออกแบบนโยบายการเงิน และศึกษาผลดีของการรักษาค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงมาในระดับกลาง (38-40 บาท/ดอลล่าร์ ไม่ใช่แข็งกว่า 34 บาท/ดอลล่าร์ และไม่อ่อนเกิน 40 บาท/ดอลล่าร์) ให้เสมอภาคกับคู่แข่งทางการค้า เพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ เช่น ต้นทุนการส่งออก การว่าจ้างแรงงานเต็มพิกัด ทำให้มีการจับใช้สอย อย่างสะดวกสบาย ลดกลียุค เสริมสร้างสภาพคล่องของการเงิน มีเงินเฟ้อที่แน่นอน มีความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชน การอยู่ดี กินดี ของประชาชน และการเติบโตอย่างยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี