ll บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีกจำกัด (มหาชน) หรือ OR...ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า คณะกรรมการ OR ในการประชุมครั้งที่ 12/2567...ได้อนุมัติแผนการลงทุน 5 ปี (ปี 2568-2572) จำนวน 60,404.6 ล้านบาท แบ่งตามกลุ่มธุรกิจหลัก ได้ดังนี้ 1.ธุรกิจ Mobility มีสัดส่วน52.8% อยู่ที่ 31,877 ล้านบาท 2.ธุรกิจLifestyle มีสัดส่วน 25.7% อยู่ที่ 15,502.7 ล้านบาท 3.ธุรกิจ Global มีสัดส่วน 18% อยู่ที่10,846.9 ล้านบาท และ 4.ธุรกิจ Innovation & New Business มีสัดส่วน 3.5% อยู่ที่ 2,178 ล้านบาท…โดยปี 2568 ใช้งบลงทุนรวมอยู่ที่ 18,886.9 ล้านบาท, ปี 2569 ใช้งบลงทุนรวมอยู่ที่ 13,447.7 ล้านบาท, ปี 2570 ใช้งบลงทุนรวมอยู่ที่ 9,855.4 ล้านบาท, ปี 2571 ใช้งบลงทุนรวมอยู่ที่ 9,812 ล้านบาท, ปี 2572 ใช้งบลงทุนรวมอยู่ที่ 8,402.6 ล้านบาท...ขณะที่ปี 2568 ที่จัดสรรงบลงทุนรวมอยู่ที่ 18,886.9 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในธุรกิจ Mobility อยู่ที่ 7,656.7 ล้านบาท, ธุรกิจ Lifestyle อยู่ที่7,280.4 ล้านบาท, ธุรกิจ Global อยู่ที่ 2,771.8ล้านบาท และธุรกิจ Innovation & New Business อยู่ที่ 1,178 ล้านบาท...ทั้งนี้ ORมีแผนการลงทุนในธุรกิจหลัก (Core Business)คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน (Oil Ecosystem) โดยการขยายเครือข่ายสถานีบริการรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจMobility มีการเตรียมความพร้อมในการขยาย จากธุรกิจน้ำมัน (Fossil Based) สู่ธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน (New Energy-Based) เพื่อรองรับแนวโน้มพลังงานสะอาดในอนาคต เช่น การสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า “EV Station PluZ” การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) รวมถึงพลังงานทางเลือกอื่นในอนาคต...ส่วนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle OR ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มความแข็งแกร่งของร้าน Café Amazon ตลอด Value Chain รวมทั้งหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้ครอบคลุมทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage)และธุรกิจไลฟ์สไตล์อื่นๆ รวมถึงการเริ่มศึกษาในธุรกิจ ด้าน Health & Wellness ที่มีโอกาสเติบโตสูง...สำหรับการลงทุนกลุ่มธุรกิจ Globalในประเทศที่มีศักยภาพสูง โดยมีแผนลงทุนเพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ และแสวงหาโอกาสการเติบโตไปยังประเทศใหม่ โดยร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ (Asset-Light Growth) และยังแสวงหาธุรกิจใหม่ (OR new S-curve) ...
ll หลังมีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยที่สูงถึง 50%...ทางกระทรวงพลังงาน...ได้ออกมาชี้แจงว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยในปัจจุบัน
อยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ซึ่งการคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้าจะต้องคำนวณจากการผลิตไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้จริง โดยไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล กลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีความผันผวนจากปัจจัยของช่วงเวลา และฤดูกาล จึงไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงได้…ทั้งนี้ กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อาจจะสูงซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด จึงทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่การสร้างโรงไฟฟ้าต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าอาจจะไม่มีความสอดคล้องในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แต่ในปัจจุบันหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ความต้องการใช้ไฟฟ้ากลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองจึงไม่ได้สูงถึง50% ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวดังกล่าว...กระทรวงพลังงาน...ยังระบุอีกว่าด้าน Peak Demand หรือความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของระบบทั้ง 3 การไฟฟ้า ในปี 2567 นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พ.ค.2567 เวลา 22.24 น. อยู่ที่36,792 เมกะวัตต์ ในระยะหลังการเกิด Peakจะเป็นช่วงกลางคืนซึ่งต่างจากในอดีต แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของประชาชนที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้การใช้ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่พึ่งพาได้ประมาณ 46,191 เมกะวัตต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงนั้นมีเพียง 25.5% เท่านั้น...
ll สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(สกนช.) ได้รายงานสถานการณ์เงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด ณ วันที่ 22 ธ.ค. 2567 พบว่าเงินกองทุนฯ ติดลบลดลงเหลือ -78,970ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการติดลบที่น้อยที่สุดในรอบปี 2567 โดยมาจากเงินบัญชีน้ำมันติดลบรวม -31,924 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -47,046 ล้านบาท...โดยเงินกองทุนน้ำมันฯ ตลอดปี 2567 เคยติดลบสูงสุดในเดือน ก.ค. อยู่ที่-111,663 ล้านบาท และเคยติดลบต่ำสุดเมื่อเดือน ม.ค. 2567 ที่ -80,101 ล้านบาทก่อนที่สถานการณ์เงินกองทุนฯ จะกลับมาติดลบต่ำสุดอีกครั้งในวันที่ 22 ธ.ค. 2567 ที่-78,970 ล้านบาท...โดยปัจจุบันกองทุนฯยังมีเงินไหลเข้าจากการเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันทุกรายส่งเข้ากองทุนฯ 234.13 ล้านบาทต่อวัน หรือกว่า 7,000 ล้านบาทต่อเดือนและเงินไหลเข้าจากโรงกลั่น LPG อีก 60.17ล้านบาทต่อวัน หรือประมาณ 1,800 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนเงินไหลออกจากการชดเชยราคา LPG อยู่ที่ -45.89 ล้านบาทต่อวัน หรือไหลออก 1,376 ล้านบาทต่อเดือน...!! อย่างไรก็ตามกองทุนฯ ยังมีภาระที่ต้องชดเชยราคา LPGเพื่อให้ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัมต่อไปจนถึง 31 มี.ค. 2568รวมทั้งยังมีภาระที่ต้องชำระหนี้เงินต้นคืนสถาบันการเงินในเดือน ธ.ค. 2567 อีก278 ล้านบาท…สำหรับเงินส่งเข้ากองทุนฯที่คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.) ได้เรียกเก็บจากผู้ใช้ดีเซลและผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เป็นดังนี้...ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ส่งเข้ากองทุนฯ 10.68 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ส่งเข้าถึง 4.60 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งเข้า 2.61 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้า 1.16 บาทต่อลิตร(ปัจจุบันยอดการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ อยู่ที่ 31.52 ล้านลิตรต่อวัน)...ส่วนผู้ใช้น้ำมันดีเซลและดีเซล B20 ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 1.36 บาทต่อลิตร และดีเซลเกรดพรีเมียมส่งเข้ากองทุนฯ 2.86 บาทต่อลิตร (ปัจจุบันยอดการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลรวมอยู่ที่ 66.74 ล้านลิตรต่อวัน)...ส่วนค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมัน ที่รายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ล่าสุด ณ วันที่ 26 ธ.ค. 2567 พบว่าค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูงโดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 5.26 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95มีค่าการตลาดที่ 3.66 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.74 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.83 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 4.16 บาทต่อลิตร,ดีเซล อยู่ที่ 2.14 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-26 ธ.ค. 2567 อยู่ที่2.46 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)...ll
กระบองเพชร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี