นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับนายนาเกช ซิงค์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทยว่าได้หารือถึงแนวทางขยายการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดีย โดยเห็นพ้องที่จะร่วมกันลดอุปสรรคการค้าเพื่อความคล่องตัวในการค้าขายระหว่างกัน
อินเดียถือว่าเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลกมีการขยายตัวของ GDP เฉลี่ย 7 – 8% และที่ผ่านมาพบว่ามีการค้าการลงทุนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับจีนจึงอยากให้มีการยกระดับการเจรจาในรูปแบบ JTC หรือคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างกัน โดยเอกอัครราชทูตอินเดียจะไปเร่งดำเนินการในเรื่องนี้เพราะยังมีข้อตกลงเล็กน้อยระหว่างไทยกับอินเดียที่ยังตกลงกันไม่ได้คาดจะเจรจากันได้ภายใน 2-3 เดือนนี้ก่อนที่นายนเรนทรา โมที นายกรัฐมนตรีของอินเดียจะเดินทางมาเยือนไทยในช่วงกลางปีนี้อยากให้ไทยเป็นจุดเชื่อมให้อินเดียในการเปิดประตูการค้าสู่ภูมิภาคอาเซียนและจีนได้
โดยไทยได้ขอให้อินเดียเร่งรัดกระบวนการออกใบรับรองมาตรฐานของสำหรับสินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ เครื่องปรับอากาศ เม็ดพลาสติก ไม้พาทิเคิลบอร์ด ไม้เอ็มดีเอฟ และเส้นใยเรยอน และลดข้อจำกัดในการออกใบอนุญาตนำเข้ายางล้อและโทรทัศน์สี นอกจากนี้ ได้แสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนและร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อให้การเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน – อินเดีย สรุปผลอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2568 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเสนอแนะให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณาสานต่อการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย – อินเดีย เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนให้ขยายตัวตามศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของไทยและอินเดีย สอดรับกับนโยบายรัฐบาลไทยที่จะยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) กับอินเดีย ทั้งยังได้เชิญชวนนักลงทุนอินเดียเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยเฉพาะการจัดตั้ง Data Center
ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นควรจะจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระหว่างรัฐมนตรีการค้าสองฝ่าย เพื่อหารือเชิงนโยบายครอบคลุมเศรษฐกิจการค้าในหลายมิติ ทั้งการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน เนื่องจากการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดียมีมูลค่าการค้าสูงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น มีกลไกความตกลงการค้าเสรีทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ซึ่งการขับเคลื่อนและผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการอำนวยความสะดวกทางการค้าในระดับนโยบายจะเอื้ออำนวยประโยชน์และเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ไทยและอินเดียยังเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าขั้นกลางอาทิเม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกล ชิ้นส่วนรถยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สิ่งทอ และไม้แปรรูป ซึ่งเป็นสินค้าศักยภาพที่มีความเกื้อกูลกันของทั้งสองประเทศ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน เสมือนเป็นฐานการผลิตเดียวกันในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าทั้งในไทยและอินเดีย เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ขยายโอกาสทางการค้าและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการค้าระหว่างทั้งสองประเทศขณะเดียวกันควรเร่งสนับสนุนระบบชำระเงินข้ามแดนระหว่างพร้อมเพย์ ของไทยและ UPI ของอินเดีย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้จ่ายของผู้บริโภค และเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ
อินเดียเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม-พฤศจิกายน) การค้ารวมมีมูลค่า 15,797.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 6.06% แบ่งเป็นการส่งออกไปอินเดียมูลค่า 10,497.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์และการนำเข้าจากอินเดียมีมูลค่า 5,299.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญจากอินเดีย อาทิ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช และสินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์โดยไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 5,197.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี