ดร.เกียรติศักดิ์ คำสี นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) คาดว่ารายได้ของอุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวดี ปัจจัยหนุนจากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ช่วยหักล้างผลของราคาที่มีแนวโน้มลดลง ปริมาณผลผลิตน้ำตาลไทยในปีการผลิต 2024/2025 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 20.5% จากปีการผลิต 2023/2024 มาอยู่ที่ 10.6 ล้านตัน ตามปริมาณอ้อยเข้าหีบที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 96.7 ล้านตันซึ่งเป็นผลจากผลผลิตต่อไร่และพื้นที่เพาะปลูกที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากปัญหาภัยแล้งที่คลี่คลาย ขณะที่ราคาส่งออกน้ำตาลโดยเฉลี่ยในปี 2025 จะลดลง 2.8%YOY มาอยู่ที่ 561.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
สอดคล้องกับราคาน้ำตาลทรายดิบรวมพรีเมียมที่บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทยทำได้ (ใช้อ้างอิงราคาส่งออกของโรงงานน้ำตาลอื่นๆ) ที่มีแนวโน้มลดลง 3.1% จากฤดูกาลการผลิตที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 23.0 เซนต์ต่อปอนด์ เนื่องจากแม้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2024 เป็นต้นไป ราคาน้ำตาลโลกจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงกลางปี 2024 จากภาวะขาดดุลของน้ำตาลในตลาดโลก แต่ระดับราคาจะยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาน้ำตาลโลกในช่วงปลายปี 2023 และต้นปี 2024 ซึ่งเป็นช่วงเวลาการทำราคาน้ำตาลของฤดูกาลการผลิต 2023/2024
มูลค่าการส่งออกน้ำตาลปี 2025 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 28.7% มาอยู่ที่ 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 32.4% มาอยู่ที่ 6.5 ล้านตันขณะที่มูลค่าตลาดน้ำตาลในประเทศจะอยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 1.0% จากปริมาณการบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
การเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2025 ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลก และสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ภาวะเศรษฐกิจโลก จะส่งผลกระทบต่อความต้องการบริโภคน้ำตาลหากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็จะส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำตาลโลกเติบโตต่ำกว่าที่คาดจะส่งผลให้ราคาส่งออกน้ำตาลลดลงมากกว่าที่คาด ขณะที่ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและปัญหาภัยพิบัติ จะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตอ้อยทั้งในไทยและต่างประเทศ หากบราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก เผชิญปัญหาภัยแล้งรุนแรงน้อยกว่าที่คาด ก็จะทำให้ราคาส่งออกน้ำตาลลดลงมากกว่าที่คาด ขณะเดียวกันหากไทยเผชิญกับความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศในช่วงเปิดหีบ ก็อาจทำให้ผลผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด
ในระยะต่อไป อุตสาหกรรมน้ำตาลต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายและมาตรการเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำกระแสความยั่งยืนและเทรนด์รักสุขภาพ เช่น มาตรการการค้าระหว่างประเทศ การเก็บภาษีคาร์บอน จะทำให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น ขณะที่เมกะเทรนด์ความยั่งยืนจะทำให้ผู้บริโภคหรืออุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบมีแนวโน้มที่จะหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลมากขึ้นส่วนกระแสรักสุขภาพจะส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคสินค้าที่ปราศจากน้ำตาลมากขึ้นส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำตาลลดลง
อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยมีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดในระดับสูงส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดกระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการไม่กี่รายอุตสาหกรรมน้ำตาลถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากภาครัฐ โดยผู้ที่จะดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายได้ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เช่น จุดที่ตั้งโรงงานต้องห่างจากโรงงานน้ำตาลที่ได้รับใบอนุญาตไว้แล้วไม่น้อยกว่า 50 กิโลเมตร หรือต้องเตรียมปริมาณอ้อยเข้าสู่โรงงานไม่น้อยกว่า 50% ของกำลังการผลิตส่งผลให้การเข้ามาแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหม่เป็นไปได้ยาก
ปีการผลิต 2023/2024 มีโรงงานน้ำตาลเปิดหีบผลิตน้ำตาล 57 โรงงาน โดยกว่า 75% ของโรงงานทั้งหมดหรือ 43 โรงงานอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ 13 กลุ่มบริษัทขณะที่อีก 14 โรงงานเป็นโรงงานอิสระ ซึ่งในปีการผลิต 2023/2024 กลุ่มผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ 5 อันดับแรกครองส่วนแบ่งตลาดปริมาณการผลิตน้ำตาลรวมกันสูงถึง 54% กลุ่มมิตรผลมีส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับ 1 (23.9%) ตามมาด้วยกลุ่มไทยรุ่งเรือง (9.1%) โคราช (8.9%) ท่ามะกาหรือ KSL (6.4%) และไทยเอกลักษณ์หรือ KTIS (5.8%) ขณะที่น้ำตาลครบุรี (KBS) และน้ำตาลบุรีรัมย์ (BRR) มีส่วนแบ่งตลาด 4.6% และ 3.1% ตามลำดับ
โรงงานน้ำตาลจะเน้นการแข่งขันในการจัดหาวัตถุดิบอ้อยเป็นหลัก โดยปริมาณอ้อยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้การแข่งขันลดลง ผลผลิตน้ำตาลและผลพลอยได้สูงขึ้น ส่งผลดีต่อกำไรของผู้ประกอบการในปี 2025 ปัจจุบันอุตสาหกรรมน้ำตาลมีกำลังการผลิตมากกว่าปริมาณอ้อยในประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันจัดหาอ้อยมาป้อนโรงงานให้ได้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยลง ความรุนแรงในการจัดหาอ้อยจะขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตอ้อยในแต่ละปี ซึ่งปีการผลิตที่ผ่านมาปริมาณอ้อยลดลงค่อนข้างมากส่งผลให้การแข่งขันรุนแรง ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่ผู้ประกอบการใช้ในการจัดหาอ้อย (นอกจากการทำสัญญาซื้อขายอ้อยล่วงหน้า) คือ การให้ราคารับซื้ออ้อยที่สูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้นที่ถูกกำหนด ซึ่งจะมีส่วนทำให้กำไรของโรงงานน้ำตาลลดลง
อนึ่ง ผู้เล่นในตลาดยังมีการแข่งขันในด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ การยกระดับคุณภาพสินค้า การพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพ เช่น น้ำตาลแคลอรีต่ำ และการมุ่งสู่ความยั่งยืน เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและงดรับซื้ออ้อยไฟไหม้ กลุ่มบริษัทที่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร สร้างแบรนด์ มีประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลสูง มีคุณภาพสินค้าที่ดีและตอบโจทย์ผู้บริโภค และดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล จะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี