21 ม.ค. 2568 นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวถึงการจัดงานสัมมนาทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย พ.ศ.2568 เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ กรุงเทพมหานคร โดยมีการแถลงสถานการณ์ล่าสุด ณ สิ้นปี 2567 และทิศทางในอนาคต ว่า ณ สิ้นปี 2567 มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังเสนอขายสินค้าที่อยู่อาศัยในตลาดถึง 3,028 โครงการ รวมจำนวนหน่วยที่สำรวจทั้งหมด 837,090 หน่วย รวมมูลค่า 3,850,428 ล้านบาท
ซึ่งการสำรวจครั้งนี้นับเป็นการสำรวจที่ครอบคลุมจำนวนโครงการมากที่สุด ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ ดำเนินการสำรวจเช่นนี้มาตั้งแต่ปี 2537 จึงมีข้อมูลที่มากที่สุดในประเทศไทย สามารถเทียบเคียงข้อมูลได้ต่อเนื่อง ในรายละเอียดอาจกล่าวได้ว่า มีโครงการที่มีหน่วยขายเหลืออยู่เกินกว่า 20 หน่วย ซึ่งแสดงว่ายังมีการขายอย่างต่อเนื่อง (Active) อยู่ถึง 2,690 โครงการ โดยโครงการเหล่านี้จะมาเสนอขายต่อในปี 2568
เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 จะพบว่าขณะนั้นมีโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังเสนอขายสินค้าที่อยู่อาศัยในตลาด 2,927 โครงการ โดยมีโครงการที่มีหน่วยขายเหลืออยู่เกินกว่า 20 หน่วย อยู่ถึง 2,425 โครงการ ตัวเลขข้างต้น แสดงว่ายังมีโครงการที่ค้างเติ่งมา ไม่สามารถปิดการขายเพิ่มขึ้น 101 โครงการ (จาก 2,927 โครงการเป็น 3,028 โครงการ) หรือ 3.45% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม โครงการที่มีหน่วยขายเกินกว่า 20 หน่วยที่รอการขายอยู่เพิ่มขึ้นถึง 10.93% (จาก 2,425 โครงการเป็น 2,690 โครงการ) แสดงว่าขณะนี้โครงการที่ยัง Active อยู่ กลับค้างเติ่งอยู่ ขายไม่ได้มีเพิ่มขึ้นมาก
“จะเห็นได้ว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงอย่างชัดเจน จาก 462 โครงการในปี 2566 เหลือ 375 โครงการในปี 2567 หรือลดลง -19% ในแง่มูลค่าการพัฒนาลดลงจาก 559,743 ล้านบาทในปี 2566 ลดเหลือ 413,773 ล้านบาทในปี 2567 หรือลดลง -26% ส่วนในแง่จำนวนหน่วยลดลงจาก 101,536 หน่วยในปี 2566 ลดเหลือ 61,453 หน่วยในปี 2567 หรือลดลง -39%” นายโสภณ กล่าว
นายโสภณ กล่าวต่อไปว่า การที่จำนวนหน่วยลดลงมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับมูลค่าที่ลดลงไม่มาก เนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นสินค้าราคาแพงมากขึ้น เนื่องจากสินค้าราคาถูกขายได้ยากกว่าสินค้าราคาแพง โดยจะเห็นได้ว่าราคาบ้านโดยเฉลี่ยจาก 5.513 ล้านบาทต่อหน่วยในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 6.733 ล้านบาทในปี 2567 หรือกลับเพิ่มขึ้น 22% ราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยที่นำเสนอขายเพิ่มขึ้นโดยตลอด โดยในปี 2565 ราคาเฉลี่ยเป็นเงินเพียง 4.412 ล้านบาทเท่านั้น และในช่วงก่อนโควิด-19 ราคาบ้านที่นำเสนอขายในตลาดในปี 2562 เป็นเงินเพียง 3.937 ล้านบาทเท่านั้น
ในแง่มูลค่าการพัฒนาที่เปิดใหม่ 413,773 ล้านบาทในปี 2567 ในปีนี้มีมูลค่าที่ขายได้ 324,915 ล้านบาท (ทั้งที่เปิดใหม่และสินค้าที่เปิดก่อนหน้านี้) เท่ากับที่ขายได้เป็น 79% ส่วนในแง่จำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ 61,453 หน่วยในปี 2567 ในปีนี้มีหน่วยขายได้ 58,779 หน่วย (ทั้งที่เปิดใหม่และสินค้าที่เปิดก่อนหน้านี้) เท่ากับที่ขายได้เป็น 96% ในกรณีนี้เห็นว่า สินค้าที่ขายออกไปได้มีจำนวนพอๆ กับสินค้าที่เปิดใหม่ การล้นตลาดอาจไม่ได้มีมากเท่าที่หลายฝ่ายกังวล
“จากการสำรวจข้อมูลโครงการที่อยู่อาศัยถึง 837,090 หน่วย ปรากฏว่า 72% ขายไปได้แล้ว ที่เหลือขายอยู่มีเพียง 28% เท่านั้น หรือเป็นจำนวนหน่วยทั้งหมด 234,478 หน่วย เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2566 มีหน่วยเหลือขาย 233,433 หน่วยที่เข้าไปขายในปี 2567 แต่ ณ สิ้นปี 2567 มีหน่วยเหลือขายที่จะเข้าไปขายในปี 2568 จำนวน 234,478 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 0.45% แสดงว่าอุปทานส่วนเกินโดยรวม ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากดังที่เข้าใจ” นายโสภณ ระบุ
นายโสภณ ยังกล่าวอีกว่า อุปทานเหลือจากปี 2567 ที่จะเข้ามาขายในปี 2568 เป็นห้องชุดมากที่สุดจำนวน 78,604 หน่วยหรือ 33.5% รองลงมาก็คือทาวน์เฮาส์ 76,151 หน่วย หรือ 32.5% และบ้านเดี่ยวจำนวน 50,835 หน่วย หรือ 21.7% บ้านแฝด 25,677 หน่วยหรือ 11% นอกนั้นเป็นอาคารพาณิชย์ (ตึกแถว) และที่ดินจัดสรรอีกเป็นส่วนน้อยมาก จะสังเกตได้ว่าบ้านแฝดมีการพัฒนาขึ้นมามาก จนราวครึ่งหนึ่งของบ้านเดี่ยว เพราะตามกฎหมายบ้านแฝดมีขนาดเพียงไม่ตำกว่า 35 ตารางวาในขณะที่บ้านเดี่ยวต้องมีขนาด 50 ตารางขึ้นไป
ทั้งนี้ หากแยกแยะตามกลุ่มประเภทที่อยู่อาศัยจะพบว่า 1.กลุ่มบ้านเดี่ยวที่มีขายมากที่สุดจะอยู่ในช่วง 5-10 ล้านบาท จำนวน 26,952 หน่วย 2.กลุ่มบ้านแฝดที่มีขายมากที่สุดจะอยู่ในช่วง 3-5 ล้านบาท จำนวน 14,928 หน่วย 3.กลุ่มทาวน์เฮาส์เดี่ยวที่มีขายมากที่สุดจะอยู่ในช่วง 2-3 ล้านบาท จำนวน 41,937 หน่วย และ 4.กลุ่มห้องชุดที่มีขายมากที่สุดจะอยู่ในช่วง 2-3 ล้านบาท จำนวน 24,151 หน่วย
อนึ่ง มีโครงการที่หยุดการขายไปในปี 2567 จำนวน 85,182 หน่วย ซึ่งมากกว่าที่หยุดไปในปี 2566 จำนวน 76,327 หน่วยหรือหยุดการขายเพิ่มขึ้น 11.60% และในอีกแง่หนึ่งโครงการที่หยุดการขายไปในปี 2567 มีมูลค่ารวม 291,389 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าที่หยุดไปในปี 2566 จำนวน 257,035 ล้านบาทหรือหยุดการขายเพิ่มขึ้น 13.37% การที่มีการหยุดขายไป จึงทำให้อุปทานที่จะเคลื่อนมาขายในปี 2568 เพิ่มขึ้นกว่าปี 2567 เพียง 0.45% ตามที่นำเสนอไว้ข้างต้น หากยังไม่หยุดขายไป อุปทานส่วนเกินจะมากกว่านี้
สำหรับในอนาคต ตลาดที่อยู่อาศัยยังมีปัจจัยลบหลายประการ เช่น มาตรการ LTV หนี้ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ต้นทุนธุรกิจปรับเพิ่มขึ้น ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ผู้บริโภคหันมาเลือกเช่าแทนซื้อ นโยบายอัตราดอกเบี้ยอาจปรับขึ้น มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน+จดจำนอง ยังไม่ประกาศต่ออายุ แต่อีกด้านก็ยังมีปัจจัยบวก ได้แก่ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่อาจเกิดขึ้น ภาวะดอกเบี้ยที่มีทิศทางทรงตัว และอาจมีการปรับตัวลดลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ มาตรการสนับสนุนของรัฐบาล การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นโยบายที่ให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านในไทยได้ มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง (ที่อาจจะปรับลดเช่นเดิม) เป็นต้น
“ในปี 2568 ตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะเพิ่มขึ้นกว่าปี 2567 ประมาณ 10% ซึ่งก็ยังต่ำกว่าที่เคยมีการขายนับแสนหน่วยในช่วงก่อน แต่ก็ยังถือว่าได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว หากรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ ตลาดที่อยู่อาศัยไทยก็อาจฟื้นตัวได้มากกว่านี้” นายโสภณ กล่าวทิ้งท้าย
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี