นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ร่วมกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการธุรกิจประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ได้จัดทำรายงานการศึกษา เรื่อง “แนวทางการพัฒนาศักยภาพการค้าสินค้ากุ้ง” ด้วยเล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมกุ้งเป็นหนึ่ง ในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยสร้างรายได้และอาชีพให้คนไทยกว่า 2 ล้านคน ทั่วประเทศ การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการขยายโอกาสและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย
ทั้งนี้จากการศึกษาฯ พบว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา (ปี 2544-2555) การส่งออกกุ้งของไทยเคยครองแชมป์ “อันดับหนึ่ง” การส่งออกกุ้งของโลก โดยในปี 2555 ไทยส่งออกกุ้งเป็นมูลค่า 3,124.25 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยสัดส่วน 16.5% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมดของโลก แต่จากการระบาดของโรคตายด่วน (Shrimp Early Mortality Syndrome: EMS) ในปี 2556-2558 ส่งผลให้ผลผลิตกุ้งของไทยลดลงกว่าร้อยละ 50 ทำให้ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับประเทศผู้ผลิตกุ้งรายสำคัญ เช่น เอกวาดอร์ อินเดีย และเวียดนาม สำหรับในปี 2566 ไทยเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับที่ 6 ของโลก รองจากประเทศเอกวาดอร์ อินเดีย เวียดนาม จีน และอินโดนีเซีย ตามลำดับ ด้วยมูลค่า 1,315.20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 4.6% ของมูลค่า
ด้านการผลิต ในช่วงระยะเวลา 10 ปี (2556-2566) ผลผลิตของไทยค่อนข้างคงที่ ประมาณ 0.27 ล้านตัน สะท้อนว่าการผลิตกุ้งของไทยต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการผลิต อาทิ ข้อจำกัด ด้านทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงกุ้ง การระบาดของโรคกุ้ง ขาดการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ การจัดการที่ไม่เหมาะสม รวมถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น
ขณะที่ประเทศผู้ผลิตสำคัญที่มีผลผลิตเติบโตมากที่สุด 3 อันดับแรกของโลก ได้แก่ เอกวาดอร์ จีน และอินเดีย โดยในช่วง 5 ปี (2562-2566) มีอัตราผลผลิตเติบโตเฉลี่ยที่ 15.3% 13% และ 3.8% ตามลำดับ โดยเอกวาดอร์ จีน และอินเดีย ครองตำแหน่งผู้นำในตลาดกุ้งโลก ด้วยผลผลิตและการส่งออกที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ จากการศึกษาลักษณะโครงสร้างการนำเข้ากุ้งของโลกในปี 2566 พบว่าประเทศผู้นำเข้ากุ้งรายใหญ่ของโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ มีสัดส่วน การนำเข้ากุ้งจากไทยค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป โดยอินเดียมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ (ประเทศผู้นำเข้ากุ้งสูงสุดของโลก) 36.41% รองลงมาคือเอกวาดอร์ 21.72% อินโดนีเซีย 17.71% เวียดนาม 9.98%
ขณะที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพียง 5.24% เท่านั้น สำหรับตลาดนำเข้าสำคัญอื่น ๆ เช่น จีน และเกาหลีใต้ แม้จะนำเข้ากุ้งจากไทยในอันดับต้น ๆ แต่ไทยก็มีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างน้อย เช่น ตลาดจีน ไทยมส่วนแบ่งตลาดเพียงร้อยละ 5.29 รองจากเอกวาดอร์ และอินเดีย 58.95% และ 13.17% ตามลำดับ ตลาดเกาหลีใต้ ไทยมีส่วนแบ่งตลาด 9.19% ขณะที่เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 50.67% มีเพียงญี่ปุ่นที่เป็นตลาดศักยภาพและไทยยังสามารถแข่งขันได้ดี โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสองในญี่ปุ่น อยู่ที่ 16.60% รองจากเวียดนาม 25.31%
ขณะเดียวกันผลการศึกษาฯ ได้ชี้ช่องทางการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันสินค้ากุ้งไทยในตลาดโลก ผู้ประกอบการควรมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่หลากหลายและเชิงลึก อาทิ 1) รักษาตลาดเดิม: อาทิ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นตลาดที่มีความต้องการสินค้ากุ้งไทยอย่างต่อเนื่อง และขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดที่มีความต้องการกุ้งที่มีกำลังซื้อสม่ำเสมอ เช่น จีน ยุโรป เกาหลีใต้ และมาเลเซีย โดยปรับกลยุทธ์การตลาดและสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิดกับประเทศดังกล่าว
2) พัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มมูลค่า: มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์กุ้ง รวมทั้งส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสินค้ากุ้งให้เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) เนื่องจากมีรสชาติเฉพาะ ซึ่งจะช่วยสร้างจุดเด่นให้กับสินค้าและทำให้สินค้ามีมูลค่าสูงขึ้น อาทิ กุ้งแปรรูปและกุ้งปรุงแต่ง เพื่อดึงดูดความสนใจจากตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร หรือประเทศแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น
3) ปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐาน: พัฒนาและยกระดับมาตรฐานให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ซึ่งปัจจุบันเน้นมาตรฐานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน เพื่อให้ตรงตามมาตรฐานและข้อกำหนดของตลาดหลัก เช่น ปรับปรุงคุณภาพของกุ้งสดและแช่เย็น ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดในสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป และการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความยั่งยืน
4) สำรวจและเข้าถึงตลาดใหม่: ปัจจุบันตลาดสำคัญสำหรับสินค้ากุ้งของไทย คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ไทยควรสำรวจตลาดใหม่ ๆ และขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีความต้องการรับประทานกุ้งอยู่แล้ว แต่ยังสามารถขยายตลาดได้เพิ่มเติม เช่น จีน ตะวันออกกลาง หรือเอเชีย เป็นต้น
5) การจัดการต้นทุนและความยั่งยืน: ควรจัดการต้นทุนการผลิตและการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาการผลิตอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
ผอ. สนค. กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพการค้าสินค้ากุ้งไทยจำเป็นจะต้องมีการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดโลก โดยรายงานการศึกษาฯ มีข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาศักยภาพการค้าสินค้ากุ้งตลอดห่วงโซ่อุปทาน ดังนี้ ด้านการผลิต ควรมุ่งยกระดับคุณภาพสินค้าในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การจัดการผลผลิต การควบคุมโรคระบาด การจัดหาวัตถุดิบ การลดต้นทุนการผลิต ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น พลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการผลิตอย่างยั่งยืน ด้านการตลาด ควรส่งเสริมความร่วมมือกับค้าปลีกและค้าส่งในการรับซื้อสินค้า พร้อมเปิดโอกาสให้กลุ่มเกษตรกรรายย่อยมีช่องทางจำหน่ายสินค้ามากขึ้น รวมถึงการประชาสัมพันธ์กุ้งไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายตลาดไปยังตลาดส่งออกใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลักเดิม พร้อมทั้งเจรจาข้อตกลงการค้าต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขัน
นอกจากนี้ ด้านการบริหารจัดการ ควรปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น มาตรฐานแรงงานและความยั่งยืน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในตลาดโลกและสนับสนุนการส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ ปี 2567 ไทยส่งออกสินค้ากุ้ง รวมทั้งสิ้น 1,240.06 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว 6.79% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดหลักที่ไทยส่งออกมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.สหรัฐอเมริกา มูลค่า 312.95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 25.24% 2. ญี่ปุ่น มูลค่า 308.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน 24.87% 3. จีน มูลค่า 263.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน 21.26% 4. เกาหลีใต้ มูลค่า 65.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน 5.31% และ 5. ไต้หวัน มูลค่า 65.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน 5.31% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมดของไทย
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี