ll บมจ.ไทยออยล์...คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบรอบสัปดาห์นี้ (27-31 ม.ค. 2568)...โดยระบุว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวนเนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการผลิตน้ำมันดิบในประเทศเพิ่มขึ้น โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันดิบที่ล้นตลาดจากการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อุปสงค์น้ำมันดิบยังจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางทั้งสหรัฐฯและจีน รวมทั้งตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค.นี้ ซึ่งจะกดดันราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงหนุนจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย รวมถึงการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจเข้มงวดขึ้น...ไทยออยล์...คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล...ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 73-83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล...
ll บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ปิดดีลขายหุ้น 49% ใน RISEC Holdings, LLC (RISEC) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังผลิต 609 เมกะวัตต์ตั้งอยู่ในรัฐโรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา ให้กับ Shell Energy North America (US), L.P. (SENA) เสร็จสมบูรณ์...ในการนี้...ดร.จิราพรศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า ตามที่ EGCO RISEC II, LLC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ EGCO Group ถือหุ้นทั้งหมดและจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ SENA และบริษัทย่อย 2 บริษัทของ Carlyle Group (Carlyle) ได้แก่ Cogentrix RISEC CPOCP Holdings, LLC และ Cogentrix RISEC CPP II Holdings, LLC เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เพื่อขายหุ้นในสัดส่วน 49%ที่ถือใน RISEC ให้แก่ SENA ในขณะเดียวกัน Carlyle ก็ขายหุ้นของตนเองในสัดส่วน 51%ใน RISEC ให้แก่ SENA นั้น ทั้งนี้ การขายหุ้นดังกล่าว ได้ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้ว เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 เป็นผลให้ SENA เป็นเจ้าของ RISEC ในสัดส่วน 100% ในขณะที่ EGCO Group และ Carlyle ได้สิ้นสุดการเป็นผู้ถือหุ้นของ RISEC...ทั้งนี้ EGCO Group ได้ลงทุนในโรงไฟฟ้า RISEC ช่วงต้นปี 2566 ซึ่งโรงไฟฟ้าแห่งนี้จำหน่ายไฟฟ้าในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้านิวอิงค์แลนด์ (ISO-NE) และทำสัญญาขายกำลังผลิตพร้อมจ่ายทั้งหมดและให้บริการเสริมความมั่นคงและระบบไฟฟ้า Blackstart กับ ISO-NEรวมทั้งได้ทำสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดและให้บริการเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าอื่นๆ กับ SENA ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบรับจ้างแปลงพลังงาน (Energy TollingAgreement)...
ll คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ภายในเดือน ม.ค. 2568 นี้ เพื่อเสนอทางเลือกให้ภาครัฐทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไข การสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าทั้งในรูปแบบ “การให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder)” และ “การสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง (FiT)” ของกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) เพื่อให้การอุดหนุนสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และทำให้ค่าไฟฟ้าสามารถปรับลดลงได้ทันทีประมาณ 17 สตางค์ต่อหน่วย จากค่าไฟฟ้าในปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย...ทั้งนี้ ทาง กกพ. ได้ออกมาแถลงรายละเอียดว่า หากมีการปรับปรุงราคารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่ม Adder และ FiT ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์รับซื้อในอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งหน่วยละ 3.1617 บาท บวกกับค่าส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) หน่วยละ 8 บาท (10 ปี)รวมแล้วเป็นค่าไฟฟ้าหน่วยละ 11.1617 บาทซึ่งแพงกว่าอัตรารับซื้อที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คำนวณไว้ในโครงการการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 และในส่วนเพิ่มเติม พ.ศ. 2567 หน่วยละ 2.1679 บาท หลายเท่าตัวหรือมีส่วนต่างหน่วยละ 8.9938 บาท หากนำส่วนต่างนี้ออกไปจากสูตรคำนวณค่าไฟฟ้าก็จะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงทันที และไม่กระทบต่อผู้ประกอบการด้วย 2 เหตุผล คือ 1.ผู้ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าผ่านจุดคุ้มทุนแบบ Adder และได้รับค่าตอบแทนจากโครงการพอสมควร จึงควรปรับค่าไฟฟ้าให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงได้ 2.การรับซื้อไฟฟ้าในอดีตหน่วยละ 11.1617 บาท เนื่องจากอุปกรณ์การผลิตไฟฟ้าจากแผงพลังงานแสงอาทิตย์ยังมีต้นทุนสูง แต่ในปัจจุบันราคาอุปกรณ์ดังกล่าวลดลงมาก ราคาไฟฟ้าที่รัฐรับซื้อควรลดลงตามมาด้วยเช่นกัน หรือแม้โครงการผ่าน 10 ปีและเงินอุดหนุน 8 บาทหมดไปแล้วแต่ราคารับซื้อก็ยังอยู่ที่ 3.1617 บาท ซึ่งแพงกว่าราคาที่ สนพ. คำนวณในปี 2565 ไว้ที่หน่วยละ 2.1679 บาท ซึ่งมีส่วนต่างเป็นเงินหน่วยละ 0.9938 บาท ถือเป็นกำไรที่ผู้ประกอบการไม่ควรได้รับประการสำคัญสัญญารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่มนี้ระบุว่าให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติหมายความว่า ไม่มีวันสิ้นสุดสัญญา หากไม่มีการปรับปรุงอัตราการรับซื้อไฟฟ้าให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ผู้ประกอบกิจการก็จะได้กำไรเกินควร...
ll บริษัท ฟิวเจอร์ อีเล็คทริคอลคอนโทรล จำกัด (FEC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL)...และได้ทำกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับ China National Heavy Machinery Corporation (CHMC) ได้รับหนังสืออนุมัติว่าจ้างจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้เป็นผู้ดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 กิโลโวลต์ (500kV) ระยะทางประมาณ 37 กิโลเมตร จากสถานีไฟฟ้าแรงสูงบางละมุง 2 ถึงสถานีไฟฟ้าแรงสูงปลวกแดง...โครงการดังกล่าวดำเนินการในนาม THE JOINT VENTURE OF CHINA NATIONAL HEAVY MACHINERY CORPORATION & FUTURE ELECTRICAL CONTROL COMPANY LIMITED โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 622.04 ล้านบาท และ 1.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (USD) คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 673.70 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)ซึ่งครอบคลุมการจัดหาอุปกรณ์ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการขนส่งและติดตั้ง...โดยโครงการนี้มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 21 เดือนตามที่ระบุในสัญญา...งานดังกล่าวช่วยสนับสนุนงานในมือ (Backlog) ด้านงานรับเหมาและวางระบบทางด้านวิศวกรรม (EPC) เพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังมีงาน Submarine cable ที่เกาะสีชัง มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้แล้ว และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้...ll
กระบองเพชร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี