กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าเดือนมกราคม – พฤศจิกายนของปี 2567มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 76,275.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,605,570.06 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ FTA 83.62% คาดตัวเลขการใช้สิทธิฯ ทั้งปี 2567 เติบโตเพิ่มขึ้นตามมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยชวนจับตา FTA ไทย - ศรีลังกา ที่คาดว่าจะมีผลใช้บังคับในเดือนมีนาคม 2568
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยข้อมูลการใช้สิทธิ FTA ในช่วงเดือนมกราคม - พฤศจิกายน ปี 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลง FTA รวม 76,275.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 83.62% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 0.73% ซึ่งเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 28,772.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 78.08% อันดับสองเป็นการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลงอาเซียน - จีน (ACFTA) มูลค่า 20,871.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 90.01% อันดับสามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 6,335.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 84.03% อันดับสี่ ความตกลงการค้าเสรีไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 5,636.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 58.27% อันดับห้า ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 4,987.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 64.28% ซึ่งคาดว่าสรุปตัวเลขการใช้สิทธิ FTA
ทั้งปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการส่งออกไปจีน ซึ่งมีการใช้สิทธิฯ ภายใต้ FTA เป็นอันดับสองหดตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัวโดยกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการใช้สิทธิฯ ลดลง อาทิ ทุเรียนสด ยางสังเคราะห์ สตาร์ช จากมันสำปะหลัง และโพลิเมอร์ของเอทิลีน
นางอารดาฯ เพิ่มเติมว่า FTA ที่น่าจับตามองมากที่สุดในปี 2568 คือ ไทย-ศรีลังกา ซึ่งถือเป็น FTA ฉบับล่าสุดของไทยที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มีนาคม 2568 ซึ่งแม้ว่าศรีลังกาจะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่มีจุดเด่นด้านที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของการขนส่งทางเรือของโลก เชื่อมต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ดังนั้น จะมีส่วนช่วยในการขยายตลาดการส่งออกและผลักดันมูลค่าการส่งออกของไทยอย่างแน่นอนและสำหรับ FTA 14 ฉบับของไทยที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นที่แน่นอนว่าในปี 2568 FTA ที่น่าจับตามองมากที่สุดคือ ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ซึ่งเป็น FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงที่สุดมาโดยตลอด โดยในเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 4.53% และมีสินค้าที่น่าสนใจเนื่องจาก
มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ โตต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 คือ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งสำหรับเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ที่ 660.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการเติบโต 105.27% และ เป็นการส่งออกไปยังทุกประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมีมูลค่าการส่งออกไปยังอินโดนีเซียมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ความตกลงฉบับนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงให้ทันสมัย สอดคล้องกับรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้อำนวยความสะดวกทางการค้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าหากสามารถเจรจาได้เสร็จตามเป้าในปี 2568 จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าการใช้สิทธิฯ ที่มากอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ความตกลงที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2567 อีกฉบับที่น่าสนใจ คือ อาเซียน -ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์ ซึ่งสำหรับเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 3,449.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 31.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แบ่งเป็นการใช้สิทธิฯ เพื่อส่งออกไปยังออสเตรเลียมูลค่า 3,285.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าที่มีการใช้สิทธิฯ สูง 5 อันดับแรกเป็นสินค้ายานยนต์ทั้งสิ้น สำหรับการส่งออกไปยังนิวซีแลนด์ มีมูลค่า 163.70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสินค้าที่มีการใช้สิทธิฯ สูง อาทิ แผ่นอะลูมิเนียมเจือ กากเหลือ
จากการผลิตสตาร์ช เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณทำหรือชุบด้วยเงิน โดยอีกประเด็นที่น่าจับตามอง คือ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน -ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ฉบับอัปเกรด จะมีผลบังคับใช้ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2568 ซึ่งความตกลงฉบับอัปเกรดนี้ได้ปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าและระเบียบวิธีปฏิบัติเพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการค้าในปัจจุบัน เพิ่มรูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต (Self-certification)ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ผู้ประกอบการเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า และปรับปรุงเกณฑ์ถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า 253 รายการ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับกระบวนการผลิตจริงมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ กรมการค้าต่างประเทศอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเตรียมการรองรับการบังคับใช้ดังกล่าว
ทั้งนี้ แม้ว่าในปี 2568 มีการคาดการณ์ว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเริ่มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่มีความเสี่ยงที่ต้องติดตามหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน หรือความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กรมการค้าต่างประเทศขอเน้นย้ำว่า FTA ทั้ง 14 ฉบับกับ 18 ประเทศคู่ค้า และล่าสุดฉบับที่ 15 กับศรีลังกา ที่รัฐบาลได้มุ่งมั่นเจรจาเพื่อขยายตลาดในการส่งออก จะเป็นทางรอดและตัวช่วยสำคัญของธุรกิจไทยในการกระจายความเสี่ยงในการส่งออกไปยังตลาดที่ผู้ส่งออกไทยจะมีแต้มต่อด้านภาษีและลดผลกระทบที่อาจเกิดจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ
ดังนั้น กรมฯ จึงเดินหน้าเตรียมจัดสัมมนาและทำ Workshop เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย ทั่วประเทศรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ระยอง สงขลา นครพนม พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ลำพูน หนองคาย และชลบุรี เพื่อเสริมสร้างให้ผู้ประกอบการไทยมีทักษะและศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจเพื่อขยายตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสามารถติดตามการจัดฝึกอบรม ได้ทางเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี