นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) ในฐานะประธานการประชุมแนวทางการดำเนินการเพื่อลดปัญหา PM 2.5 ข้ามพรมแดน เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมฯ เห็นด้วยกับหลักการที่จะกำหนดมาตรการให้ผู้นำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ คต. กำหนด โดยจะต้องแสดงเอกสารประกอบการนำเข้า ทั้งแบบฟอร์มการแจ้งข้อมูลประกอบการนำเข้า ตามที่กำหนด เอกสารรับรองจากหน่วยงานผู้มีอำนาจอย่างเป็นทางการ (Competent Authority : CA) ของประเทศผู้ส่งออกว่า สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้าในงวดดังกล่าว เป็นสินค้าที่มาจากแหล่งเพาะปลูกที่ไม่มีการเผา และพิสูจน์ได้ว่า ผู้เพาะปลูก/ผู้ส่งออก/ผู้รวบรวมมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ และต้องมีภาพแผนที่แสดงถึงแปลงที่ใช้ในการเพาะปลูก ให้ชัดเจน
โดยในเบื้องต้นจะใช้บังคับกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นลำดับแรก ก่อนขยายขอบเขตไปยังสินค้าเกษตรอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ มั่นใจว่ากระบวนการดังกล่าวจะไม่ขัดต่อหลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) และพันธกรณีตาม FTAs ที่ไทยเป็นภาคี และไม่สร้างภาระแก่ผู้ประกอบการจนเกินความจำเป็น อย่างไรก็ดี หลังวันนี้ คงต้องมีการคุยเพื่อวางรายละเอียดให้ชัดเจนต่อไป ก่อนนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) และคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบต่อไป
นางอารดา กล่าวว่า ในระหว่างการพูดคุยในรายละเอียด ภาคเอกชนทั้งสมาคมผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ และภาคธุรกิจของไทยที่เข้าไปลงทุนด้านการทำเกษตรในประเทศเพื่อนบ้าน ต่างได้ร่วมแสดงเจตจำนงชัดที่จะจัดการการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนที่เป็นประเด็นสำคัญระดับชาติ นอกจากนี้ กรม จะประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแจ้งกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้รับทราบมาตรการของไทย และเร่งขอให้มีการกำหนด CA เพื่อออกหนังสือรับรองต่อไป และจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องป้องกันการลักลอบนำเข้าด้วย
ทั้งนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าที่ไทยผลิตได้ประมาณ 4 – 5 ล้านตันต่อปี ขณะที่มีความต้องการใช้ประมาณ 8 – 9 ล้านตันต่อปี จึงมีความจำเป็นต้องมีการนำเข้า ซึ่งที่ผ่านมามีการนำเข้าประมาณปีละ 1.33 – 1.83 ล้านตัน แหล่งนำเข้าที่สำคัญของไทย คือ ประเทศเพื่อนบ้าน โดยปี 2567 ไทยมีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปริมาณรวม 2.011 ล้านตัน มูลค่า 19,426.90 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น 51.07% และ 27.91% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นการนำเข้าจากเมียนมา มากที่สุดในสัดส่วน 87% ของปริมาณการนำเข้า รองลงมา คือ สปป.ลาว 12.61% และ กัมพูชา 0.39 % ตามลำดับ
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี