นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รักษาการแทนผู้อำนวยการสสว. เปิดเผยดัชนี SMESI ประจำเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 53.9 จากระดับ 53.0 ของเดือนก่อนหน้า และปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 มีปัจจัยบวกจากการขยายตัวอย่างชัดเจนของภาคการบริการ ตามแรงส่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เร่งตัวสูงในช่วงเทศกาลปลายปี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกด้านกำลังซื้อจากการเบิกจ่ายเงินโบนัสประจำปีของภาคเอกชนที่กระตุ้นให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก รวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก อย่างไรก็ตามภาคการผลิตมีแนวโน้มทรงตัว ตามการปรับลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลดกำลังการผลิตตามจำนวนวันหยุดในช่วงสิ้นปี
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนี พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกองค์ประกอบ มีสาเหตุมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งด้านการท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภค โดยองค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อโดยรวม ปรับเพิ่มจากระดับ 62.0 เป็นระดับ 63.3 องค์ประกอบด้านปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 58.1 เป็นระดับ 58.5 องค์ประกอบด้านการลงทุนโดยรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดจากระดับ 50.6 เป็นระดับ 52.2 องค์ประกอบด้านต้นทุนรวม (ต่อหน่วย) ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 39.2 เป็นระดับ 39.8 องค์ประกอบด้านกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 58.0 เป็นระดับ 59.4 และองค์ประกอบด้านการจ้างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 50.2 เป็นระดับ 50.3
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 53.0 ลดลงจากระดับ 53.9 ที่คาดการณ์ในเดือนก่อนหน้า สาเหตุจากความกังวลของผู้ประกอบการภาคการผลิตเป็นสำคัญที่ต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งปัจจัยกำลังซื้อในระยะยาวยังแผ่วลงอย่างต่อเนื่องซึ่งกระทบต่อกำลังการผลิต และปริมาณการขายสินค้า รวมถึงแรงกดดันจากด้านต้นทุน โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งกระทบต่อการดำเนินการของภาคธุรกิจการผลิต ขณะที่ภาคการค้าและการบริการชะลอตัวลงเช่นกัน ตามการขาดแรงส่งด้านการท่องเที่ยวและการเดินทางเป็นหลัก
ทั้งนี้ ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME ปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 52.4 ปรับตัวลดลงจากปี 2566 ที่ระดับ 53.2มีสาเหตุมาจากภาพรวมเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคชะลอตัวลง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ต้นทุนราคาสินค้าและวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง รวมไปถึงปัญหาการเข้ามาแข่งขันของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ออกมาในระยะสั้น ปัญหาจากสภาวะแวดล้อม เช่น ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตในภาคการเกษตร สถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือและภาคใต้ เป็นต้น
สิ่งที่ SME ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุดคือ การออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยให้สิทธิในการเข้าร่วมมาตรการครอบคลุมถึงธุรกิจรายย่อยมากขึ้น เป็นการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้นและเป็นมาตรการที่เป็นแบบต่อเนื่อง รองลงมา คือ ด้านภาระหนี้สินและเงินทุน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่อาจเผชิญปัญหาการผิดนัดชำระในช่วงเวลาถัดไป รวมถึงมาตรการควบคุมราคาต้นทุนปัจจัยการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องที่เริ่มส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภาคการผลิต
นอกจากนี้ต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมเรื่องศักยภาพของธุรกิจ เช่น การหาเครือข่ายหรือกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกันเพื่อแลกเปลี่ยนและแบ่งปันประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ โดย สสว. มีโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่คอยให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือ ผ่าน https://coach.sme.go.th/ หรือ Application “SME Connext” ที่รวบรวมองค์ความรู้ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี