31 ม.ค. 2568 นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เขียนบทความ “รายย่อยใครปกป้อง: มาตรการส่งเสริมคนตัวเล็กในตลาดทุนไทย” เผยแพร่ทางเว็บไซต์ของ TDRI เนื้อหาดังนี้
บทความก่อนหน้าเรื่อง “ตลาดทุนของใคร ? หมอบุญหรือป้าบัว: มาตรการยกระดับการเข้าถึงตลาดทุนอย่างทั่วถึง” ได้กล่าวถึงความแตกต่างที่น่ากังวลระหว่างนักลงทุนรายใหญ่กับนักลงทุนรายย่อย ในบทความนั้นกล่าวถึงนักลงทุนรายใหญ่ที่อาจเป็น ‘คนรวยที่ไม่ซื่อสัตย์’ ที่เอาเปรียบและหลอกลวงไม่เพียงนักลงทุนรายย่อย แต่ทำกับทุกคนในตลาดทุนก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามบทความดังกล่าวนั้นก็ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า ทุกคนควรได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดทุน (ตลาดหุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้และพันธบัตรรัฐบาล) ซึ่งได้มีการนำเสนอความเชื่อนั้นอย่างต่อเนื่องในบทความฉบับต่อมาเรื่อง ‘แผ้วถางทางลงทุน: แนวนโยบายสำหรับคนไกลตลาดทุน ที่เสนอนโยบายหลายประการที่จะทำให้ ‘คนไกลตลาดทุน’ โดยเฉพาะคนที่เป็นคนเล็กคนน้อย เข้ามาได้รับประโยชน์จากการลงทุนโดยไม่ ‘เจ็บตัว’
บทความนี้จะขยายความต่อเนื่องจากบทความที่สอง โดยนำเสนอมาตรการที่จะช่วยให้นักลงทุนรายใหม่และรายย่อยไม่ ‘เจ็บตัว’ ในการลงทุน โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจว่า นักลงทุนรายย่อยกลุ่มไหนที่ต้องให้ความสำคัญ และ มี ‘จุดอ่อน’ อะไรบ้าง เพื่อชี้ว่ามาตรการที่นำเสนอจะมาช่วยปิดหรือกลบจุดอ่อนดังกล่าวได้อย่างไร
นักลงทุนรายย่อยกลุ่มไหนที่ต้องให้ความสำคัญ?
แม้นักลงทุนรายย่อยมีหลายกลุ่ม บางกลุ่มอาจมีความรู้ครบถ้วน แต่กลุ่มที่อาจมีจุดอ่อนมากที่สุดน่าจะมีต้นทุนทางสังคม (social capital) ต่ำ ได้แก่ กลุ่มที่ขาดความรู้ เช่น กลุ่มผู้ลงทุนที่มีการศึกษาไม่มาก กลุ่มที่ขาดประสบการณ์ เช่น กลุ่มผู้ลงทุนอายุน้อย หรือ กลุ่มที่ขาดช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย หรือเอกสารข้อมูลประกอบการตัดสินใจการลงทุนต่าง ๆ ซึ่งมักอยู่บนรูปแบบดิจิทัล เช่น กลุ่มผู้ลงทุนที่สูงอายุ
ผู้ลงทุนเหล่านี้มี จุดอ่อนสำคัญอยู่สี่ประการคือ “เงินน้อย รู้น้อย โอกาสน้อย อำนาจต่อรองน้อย” ซึ่งมาตรการการส่งเสริมและคุ้มครองนักลงทุนกลุ่มนี้ที่เหมาะสมประกอบด้วย (1) การเพิ่มความรู้และข้อมูล ลดการรู้ไม่จริง ป้องกันการถูกหลอก (2) การเพิ่มความเท่าเทียมในด้านโอกาสเทียบกับนักลงทุนรายใหญ่ (3) การปฏิบัติอย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย
การเพิ่มความรู้และข้อมูล ลดการไม่รู้จริง ป้องกันการถูกหลอก
สำหรับคนไกลตลาดทุน และนักลงทุนรายย่อย ความรู้เรื่องการเงินและการลงทุนยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่อง โดยการสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยเมื่อปลายปี 2567 ต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2568 พบว่า ในผู้ที่ลงทุนในตลาดทุนมีเพียง 11% ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเรื่องการลงทุนทั้ง 4 ข้อได้ถูกต้องทั้งหมด ซึ่งเป็นคำถามเกี่ยวกับการคิดอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ความสัมพันธ์ของอัตราดอกเบี้ยและราคาพันธบัตร การทำธุรกรรมซื้อขายพันธบัตร และความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยง (รายละเอียดด้านล่าง)
ข้อคำถามที่ใช้สอบถามในกลุ่มผู้ลงทุนรายย่อย
1.ท่านซื้อหลักทรัพย์ A ในราคา 100 บาท ต่อหุ้น ระหว่างปีมีเงินปันผล 5 บาทต่อหุ้น ต่อมา ท่านขายออกไปในราคา 120 บาทต่อหุ้น อัตราผลตอบแทนที่ท่านได้รับเป็นเท่าไหร่?
2.ถ้าอัตราดอกเบี้ยลดลง ราคาของพันธบัตรควรจะเป็นอย่างไร?
3.ถ้าท่านซื้อพันธบัตรอายุ 10 ปี ท่านสามารถขายพันธบัตรดังกล่าวได้หลังจาก 5 ปีหรือไม่?
4.การซื้อหุ้นของบริษัทโดยปกติให้ผลตอบแทนที่ปลอดภัยกว่ากองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น ถูกหรือผิด?
ยิ่งไปกว่านั้นผลสำรวจยังพบปัญหาการไม่รู้ว่าตัวเอง ‘ไม่รู้จริง’ โดยผู้ลงทุนเกือบ 1 ใน 5 เชื่อมั่นว่าตัวเองตอบคำถามเหล่านี้ถูกต้อง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วตอบไม่ถูก
ดังนั้นมาตรการเรื่องความรู้ (และการรู้จริง) จึงสำคัญมาก จากการพูดคุยกับทั้งคนไกลตลาดทุน นักลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน มีความเห็นหนึ่งที่สอดคล้องกันคือความจำเป็นใน การสร้างความรู้เรื่องการเงินและการลงทุนตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มสอนความรู้เบื้องต้นทางการเงินในโรงเรียนได้ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา และยกระดับเป็นการให้ความรู้ในการลงทุนตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นจนถึงมหาวิทยาลัย
ในส่วนของช่องการทางการลงทุน การเข้าถึงของข้อมูล และคุณภาพของข้อมูลการลงทุนก็สำคัญสำหรับคนไกลตลาดทุนและนักลงทุนรายย่อย ตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ (ซึ่งเป็นแหล่งรองรับเงินออมของคนไทยส่วนใหญ่) แม้จะมีการให้บริการคำแนะนำด้านการลงทุนกับลูกค้าแล้ว แต่คุณภาพของคำแนะนำที่ให้กับลูกค้ารายย่อยก็อาจยังไม่ดีพอ เมื่อเทียบกับที่ลูกค้ารายใหญ่ได้รับ หรือในกรณีของการลงทุน ผู้ลงทุนบางรายมีโอกาสเข้าถึงการสัมภาษณ์ผู้บริหารผ่านการทำ Company Visit ได้ แต่โอกาสดังกล่าวมิได้เปิดกว้างสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าห่วงกังวล คือกรณีนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเข้าตลาดทุน (หรือแม้จะอยู่ในตลาดทุนมาพักหนึ่งแล้ว) ให้น้ำหนักกับความเห็นจากผู้มีชื่อเสียงหรือทรงอิทธิพลใน Social Media หรือที่เรียกกันว่า Influencers ซึ่งหลายคนก็น่าสงสัยว่า ‘รู้จริงหรือไม่’ หรือกระทั่งอาจมี ‘วาระซ่อนเร้น’ ในการแนะนำการลงทุนบางอย่าง
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงควรมีมาตรการในการกำกับดูแลมาตรฐานการให้คำแนะนำ เช่น ผู้ที่ต้องการเป็น Influencer ด้านการเงิน ต้องขึ้นทะเบียนและระบุตัวตนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานควรตรวจสอบความถูกต้องของคำแนะนำอยู่เป็นระยะว่ามีความเหมาะสม และโปร่งใสหรือไม่ (เช่น ต้องเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนที่เป็นไปได้ ในการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หุ้น หรือกองทุนรวมที่ตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสีย) นอกจากนี้ หน่วยงานรัฐควรให้ความรู้กับนักลงทุนควบคู่ไปด้วยในการแยกแยะหรือรับฟังคำแนะนำของ Influencers เหล่านี้อย่างมีวิจารณญาณ
การเพิ่มโอกาสให้เท่าเทียม
ความไม่เท่าเทียมกันของโอกาสเป็นองค์ประกอบสำคัญของความเหลื่อมล้ำในทุกเรื่อง รวมทั้งช่องว่างระหว่างนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยด้วย มีตัวอย่างจำนวนมากในเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงธนาคารพาณิชย์ ที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ แต่บริษัทหลักทรัพย์ทั่วไปก็มักให้คำแนะนำต่อนักลงทุนรายใหญ่มากกว่า
เรื่องนี้สามารถบรรเทาได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เช่นหน่วยงานรัฐสามารถพัฒนาเครื่องมือช่วยการลงทุนที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เช่น Generative AI ซึ่งมีการพัฒนาก้าวกระโดดในปัจจุบัน ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์การลงทุน ความเสี่ยง และให้คำแนะนำลงทุนเบื้องต้นแก่นักลงทุนทั่วไปรวมถึงรายย่อยด้วยในคุณภาพที่ใกล้เคียงกับที่นักลงทุนรายได้รับจากที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว แต่ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่ามากหรือไม่มีเลย
กรณีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ก็มีความไม่เท่าเทียมกันระหว่างนักลงทุนรายใหญ่ และรายย่อยในการเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์ ตัวอย่างหนึ่งคือกรณีที่ภายหลังจากจัดทำงบการเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว บริษัทจดทะเบียนจำนวนหนึ่งมักจัดให้มีการประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meetings) ก่อนการพบปะนักลงทุนทั่วไป (เช่น Opportunity Days) ทำให้นักลงทุนรายใหญ่ซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ที่นักวิเคราะห์เหล่านี้สังกัดอยู่ อาจทราบผลประกอบการหรือแนวโน้มของธุรกิจก่อนผู้ลงทุนรายย่อย และสร้างโอกาสในการทำกำไรจากข้อมูลที่ไม่เท่าเทียมกันได้ จึงควรมีการกำกับมิให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลในลักษณะไม่เท่าเทียมกันเช่นนี้
การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และการมีทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนไกลตลาดหรือนักลงทุนรายย่อยควรได้รับการส่งเสริม ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลควรมีการกระจายตัวสู่รายย่อยมากขึ้น และผ่านช่องทางที่รายย่อยเข้าถึงได้ง่าย เพราะพันธบัตรรัฐบาลเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผู้ไม่ต้องการรับความเสี่ยง แต่ได้รับผลตอบแทนมากกว่าตลาดเงิน (เช่น การฝากเงินในธนาคารพาณิชย์เท่านั้น)
นอกจากนี้ควรเพิ่มทางเลือกด้านผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมให้นักลงทุนรายย่อย เช่น ตราสารที่โยงผลตอบแทนกับอัตราเงินเฟ้อ (Inflation-Linked Bonds) ควรมีมากขึ้น และส่งเสริมให้แพร่หลายกว่านี้ หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกแบบเพื่อเตรียมพร้อมกับวัยเกษียณ (Post-Retirement Products) ที่เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้กำลังเข้าสู่วัยเกษียณ ที่ไม่ควรรับความเสี่ยงมากแต่ยังคงได้รับผลตอบแทนระดับหนึ่ง ทำให้ความมั่งคั่งไม่ถูกลดทอนด้วยผลของเงินเฟ้อ
นอกจากพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำแล้ว การลงทุนในกองทุนรวมก็เป็นอีกทางเลือกของผู้ที่ไม่พร้อมศึกษาการลงทุนด้วยตัวเอง เพราะผู้จัดการกองทุนจะช่วยตัดสินใจให้เหมาะกับนักลงทุนระยะเริ่มต้น (เช่นนักศึกษา) หรือผู้ที่ไม่มีเวลาศึกษา และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและในเชิงลึก แต่ต้องสามารถสร้างความเชื่อใจให้กับนักลงทุนรายย่อยบางคนที่ยังไม่แน่ใจเรื่องประสิทธิภาพหรือความโปร่งใสของการบริหารกองทุน
นักลงทุนเปราะบางอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ คือกลุ่มเยาวชน ที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แม้กลุ่มนี้จะไม่มีบัญชีลงทุนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แต่พบว่าก็อาจมีการลงทุนแล้ว และบางส่วนมีพฤติกรรมลงทุนที่ไม่เหมาะสม เช่นลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงเกินไป อย่างสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Cryptocurrencies หรือ NFTs โดยอาจใช้เงินของครอบครัวร่วมด้วย และบางส่วนก็มีส่วนร่วมในตลาดทุนแล้ว โดยที่หน่วยงานไม่สามารถติดตามได้ เพราะใช้บัญชีของผู้ปกครอง จากข้อกำหนดด้านอายุที่ไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ซึ่งแนวทางในต่างประเทศเช่นในญี่ปุ่น มีการปรับอายุการลงทุนได้ลงมาที่ 18 ปีแล้ว และพบว่ามีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความรู้การลงทุนในกลุ่มเยาวชนจริง ซึ่งในประเทศไทยก็มีหลายความเห็นที่เสนอให้ปรับลดเกณฑ์อายุดังกล่าวลง
การปฏิบัติอย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย
ในระยะหลายปีมานี้ ความเชื่อมั่นต่อตลาดทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้น ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการฉ้อโกงและความไม่โปร่งใสที่ต่อเนื่องหลายกรณี เรื่องนี้ย่อมกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนทุกคน และทำให้คนไกลตลาดทุนอาจยิ่งอยากอยู่ให้ห่างมากขึ้น
ที่สำคัญคือพัฒนาการของกรณีเหล่านี้นำไปสู่ความรู้สึกยากจะหลีกเลี่ยงว่านักลงทุนรายใหญ่หรือผู้บริหารที่ไม่ซื่อสัตย์ยังไม่ได้รับการลงโทษ หรือได้รับการลงโทษที่ไม่สมกับขนาดของความผิด ทำให้มีคำถามถึงการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย
จึงจำเป็นที่หน่วยงานที่รักษากฎหมายจะต้องเร่งยกระดับการบังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น ต้องทำงานให้ทันเหตุการณ์มากขึ้น ตีความกฎหมายตามเจตนารมณ์แทนที่จะเป็นตามลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ก็เพื่อลบเลือนความรู้สึกว่า ‘คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น’ กับ ‘คนรวยโกงได้ไม่โดนจับ’ และควรมีมาตรการเชิงรุกในการดูแลและเยียวยานักลงทุนรายย่อยที่ได้รับความเสียหายจากกรณีเหล่านี้ด้วย
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดเอกสารเผยแพร่และสื่อสารองค์ความรู้และผลการศึกษาต่อสาธารณะ ภายใต้โครงการวิจัยเรื่อง “การยกระดับการออมผ่านช่องทางตลาดทุน” ซึ่งอยู่ระหว่างการวิจัย โดย ทีดีอาร์ไอ และการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)
ขอบคุณเรื่องจาก
https://tdri.or.th/2025/01/suggestion-protect-retail-investors-capital-market/
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/business/849111 ‘คนจนเล่นหวย-คนรวยเล่นหุ้น’ นักวิจัย‘TDRI’ชี้เหตุผลรากหญ้ามอง‘ตลาดทุน’ยากเกินเอื้อมถึง
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี