สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) แจ้งข่าวว่า สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 90.18 หดตัว 2.11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ภาพรวมปี 2567 หดตัวเฉลี่ย 1.79% รับปัจจัยลบหลักมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์หดตัวต่อเนื่อง ปัญหาหนี้ครัวเรือน ต้นทุนพลังงานสูง และสินค้านำเข้าจากจีน ไต้หวัน และเวียดนามที่เพิ่มขึ้น กดดันภาคการผลิตในประเทศ ชี้ยังคงมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม 9 กลุ่มเป้าหมาย
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 90.18 หดตัว 2.11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 55.97% ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2567 ดัชนี MPI อยู่ที่ 95.76 หดตัวเฉลี่ย 1.79% และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 58.44%
ทั้งนี้มีปัจจัยที่ส่งผลลบต่อภาคการผลิต ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่หดตัวต่อเนื่อง ตลาดภายในประเทศชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือน นอกจากนี้ ค่าครองชีพ และต้นทุนพลังงานอยู่ในระดับสูง สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ส่งผลให้โรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งจำเป็นต้องหยุด และผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีน อาจทำให้สินค้าเข้ามาสู่ไทย และอาเซียนมากขึ้น
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยบวกจากรัฐบาลที่มีโครงการเพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ เช่น โครงการเงิน 10,000 บาท โครงการพักหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ช่วยในการตัดเงินต้น พักดอกเบี้ย 3 ปี และปิดจบหนี้ ทำให้ภาระหนี้สินครัวเรือนลดลง และสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดส่งออกที่ยังคงดีสะท้อนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ ขยายตัว 10.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2567 ขยายตัว 5.5% และภาคการท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องขยายตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนมกราคม 2568 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง แต่มีแนวโน้มฟื้นตัว” หลังจากปัจจัยภายในประเทศกลับมาอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง เนื่องจากความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจที่ปรับลดลง โดยภาคการผลิตกังวลต่อการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงการลงทุน และปริมาณการนำเข้าสินค้าที่ชะลอตัว ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ปกติเบื้องต้น ตามการจ้างงานที่ดีขึ้น ทั้งภาคการผลิตญี่ปุ่นและสหรัฐฯ แต่ยังต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในระยะถัดไป
“ก่อนหน้านี้ สศอ. ได้ประมาณการดัชนี MPI ปี 2567 จะหดตัว 1.6% แต่ ตัวเลขดัชนี MPI ทั้งปี 2567 หดตัว 1.79% เนื่องจากการผลิตยานยนต์ที่ต่ำกว่าเป้าจากการคาดการณ์เดิมอยู่ที่ 1.9 ล้านคัน ได้มีการปรับลดลงเหลือ 1.5 ล้านคัน ทำให้กระทบต่อดัชนี MPI รวมถึงปัญหาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทะลัก ส่งผลกดดันการผลิตภายในประเทศของผู้ประกอบการไทย ซึ่งมูลค่าการนำเข้าปี 2567 ขยายตัว 6.3% โดยประเทศที่ไทยมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ สินค้าจากประเทศจีน ไต้หวัน และเวียดนาม โดยมูลค่าการนำเข้าขยายตัวร 1.38, 24.4 และ 18.1% ตามลำดับ“ นายภาสกร กล่าว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรม และ สศอ. ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าว และได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม 9 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และส่งเสริมการใช้ Solar Rooftop ในภาคอุตสาหกรรมไทย รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ก้าวทันโลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนธันวาคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ พลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้น ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.40% จากผลิตภัณฑ์ Polyethylene (PE) Polypropylene (PP) และ Ethylene เป็นหลัก เนื่องจากฐานที่ต่ำในปีก่อนอันเกิดจากความต้องการของตลาดที่ชะลอตัว ส่งผลให้ผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราว รวมถึงมีผู้ผลิตบางรายหยุดซ่อมบำรุง ครั้งใหญ่ แต่ในปีนี้ความต้องการของตลาดกลับมาเพิ่มสูงขึ้น และผู้ผลิตผลิตได้ตามปกติไม่มีการซ่อมบำรุง จึงส่งผลให้การผลิตในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนน้ำตาล ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 22.19% จากผลิตภัณฑ์น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ น้ำตาลทรายดิบ และน้ำตาลทรายขาว เป็นหลัก เนื่องจากปริมาณอ้อยเข้าหีบที่เพิ่มขึ้น ปริมาณน้ำมากพอในพื้นที่เพาะปลูกหลังมีฝนตกเพิ่มขึ้น และราคาอ้อยที่ในฤดูการผลิต 2566/67 ค่อนข้างสูง จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก
นอกจากนี้ เครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.97% จากผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ เป็นหลัก ตามอุณหภูมิเฉลี่ยโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงผู้ผลิตบางรายสามารถส่งออกสินค้าที่ผ่านมาตรฐานการรับรอง ประกอบกับคำสั่งซื้อจากลูกค้าสหรัฐอเมริกา อิรัก และประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมจำหน่ายในช่วงฤดูร้อน
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนธันวาคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ยานยนต์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 22.79% จากรถบรรทุกปิคอัพ รถยนต์นั่งขนาดใหญ่ และรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เป็นหลัก ตามการชะลอตัวของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ
ขณะเดีววกันชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.54% จาก Integrated circuits (IC) และ PCBA เป็นหลัก ตามคำสั่งซื้อที่ลดลงจากลูกค้าและบริษัทแม่ในต่างประเทศ น้ำมันปาล์ม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 32.56% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เนื่องจากปริมาณผลปาล์มที่ลดลงจากปัญหาภัยแล้งในช่วงต้นปีและอุทกภัยทางภาคใต้ในช่วงปลายปี ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี