นายชลัช ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น หรือ KSL เปิดเผยว่า ราคาขายน้ำตาลเฉลี่ยปีนี้ ลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 20 เซ็นต์ต่อปอนด์ เทียบกับปีก่อนเฉลี่ย 24-26 เซ็นต์ต่อปอนด์ แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดี จากปัจจัยมีสต๊อกน้ำตาลในตลาดโลกเป็นจำนวนมาก และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังอาจมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนราคาน้ำตาลตลาดโลกให้สูงขึ้น จากกำลังการผลิตน้ำตาลของอินเดีย และจีนที่ลดลงในช่วงต้นฤดูกาลหีบ 67/68
“สำหรับปีการผลิต 67/68คาดว่าปริมาณอ้อยในประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณ 15-22% หรือ 95-100 ล้านตันจาก 82 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปี 66/67 ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น และเกษตรกรหันมาปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น”นายชลัชกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโตที่ 15-20% มาอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1.64 หมื่นล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 67/68 อยู่ที่ 6.7-6.8 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23% จากปี 2567 ที่ 5.4 ล้านตัน ประกอบกับการเริ่มเดินเครื่องจักรโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ของบริษัทใน จ.สระแก้ว
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าในปี 2568 จะสามารถบันทึกส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริษัท บีบีจีไอ หรือ BBGI หลังจากโครงการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน จะแล้วเสร็จและเดินเครื่องในช่วงเดือนเมษายนนี้
นายชลัชกล่าวว่า ในส่วนของงบลงทุนของบริษัทคาดว่าในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า จะยังไม่มีแผนลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หลังจากบริษัทลงทุนโรงงานน้ำตาลที่สระแก้วไปแล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นงบสำหรับซ่อมบำรุงเครื่องจักร ประมาณ 500-600 ล้านบาทต่อปี
สำหรับผลประกอบการในปี2567 บริษัท มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,442ล้านบาท ลดลง 11% จากปีก่อน 18,449 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยภัยแล้งทำให้ปริมาณอ้อยเข้าหีบลดลง อย่างไรก็ดีบริษัทยังมีกำไรสุทธิ 918 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน 904 ล้านบาทจากปัจจัยราคาน้ำตาลตลาดโลกอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินบาทอ่อนค่า จึงทำให้ในปี 2567 บริษัทมีกำไรใกล้เคียงกับปี 2566
ในส่วนของการขายไฟฟ้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่องจากการผลิตน้ำตาล ปี 2567 บริษัทมีรายได้ 1,500 ล้านบาท ลดลง 7% จากปีก่อน 1,600 ล้านบาท จากปัจจัยการปรับลดค่า Ft ของภาครัฐ ซึ่งจะมีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2568 ตามมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อย่างไรก็ตาม การประกาศปรับลดดังกล่าวไม่ส่งผลต่อกำไรรวมของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจน้ำตาล ประมาณ 80-90%
นายชลัชกล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 ว่าบริษัทตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการลดปริมาณการรับซื้ออ้อยถูกลับลอบเผา รวมทั้งส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวอ้อยสดอย่างต่อเนื่อง โดยในฤดูกาลหีบ 67/68บริษัทมีปริมาณอ้อยไฟไหม้เฉลี่ยทั้งกลุ่มอยู่ที่ 17.85% จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 3.4 ล้านตัน ในขณะนี้ ซึ่งอยู่ภายในกรอบอัตราไม่เกิน 25% ของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองนโยบายภาครัฐในการลดฝุ่น PM2.5 ในฤดูเก็บเกี่ยวจากการเผา
อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรการของภาครัฐที่ออกมานั้น แม้จะมีส่วนในการแก้ไขปัญหาด้านฝุ่น PM2.5 บรรเทาผลกระทบให้ประชากรโดยรวมของประเทศ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อยในเรื่องของต้นทุนการเก็บเกี่ยวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งมาตรการเพิ่มราคาอ้อยสด 120 บาทต่อตัน ไม่สะท้อนต้นทุนการเก็บเกี่ยวอ้อยสด 200-250 บาทต่อตัน ในขณะที่อ้อยเผามีต้นทุนการเก็บเกี่ยวที่ 100-150 บาทต่อตัน จึงทำให้ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดปริมาณอ้อยเผาได้ในทุกพื้นที่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี