นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ และ ประธานกรรมการบริหาร แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) กล่าวในงาน CHULA THAILAND PRESIDENTS SUMMIT 2025 ภายใต้หัวข้อ "Future Thailand: Energizing Society" โดยเน้นย้ำถึงความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกในด้านพลังงาน เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ โดยปัจจุบัน พบว่า ประเทศไทยขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติสำหรับผลิตไฟฟ้า ทำให้ต้องพึ่งพา ก๊าซธรรมชาติ เป็นพลังงานหลัก อย่างไรก็ตาม เทรนด์โลกกำลังเปลี่ยนไปสู่ พลังงานสะอาด ที่มีต้นทุนถูกลง เช่น พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) รวมถึง พลังงานนิวเคลียร์ ที่เริ่มได้รับความสนใจในหลายประเทศ ไทยจึงต้องพิจารณาและลงทุนอย่างจริงจังในพลังงานทางเลือก เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทางการแข่งขัน
“ปัจจุบัน หลายประเทศกำลังพัฒนา เทคโนโลยีด้านพลังงานขั้นสูง เช่น แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และ เครือข่ายพลังงานอัจฉริยะ (Smart Grid) ซึ่งจะช่วยให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเป็นหลัก ดังนั้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ นอกจากพลังงานแล้ว เทคโนโลยีดิจิทัลกำลังเปลี่ยนโฉมธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ AI, Big Data, IoT และ Blockchain ที่เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการธุรกิจ ซึ่งธุรกิจที่ปรับตัวช้า จะเสียโอกาสให้กับคู่แข่งที่สามารถใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ”นายสารัชถ์กล่าว
ด้านการใช้ แรงงานมนุษย์ ในระดับปฏิบัติการกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากระบบอัตโนมัติและ AI เข้ามาแทนที่ ในขณะที่ความสำคัญของ Data และ Digital Infrastructure เพิ่มขึ้น ดังนั้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหันมาลงทุนใน AIS เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศไทยในยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ Cryptocurrency และสินทรัพย์ดิจิทัล กำลังกลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญในระดับโลก หากไทยไม่เริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ อาจเสียโอกาสให้กับต่างชาติที่พัฒนาไปไกลกว่าแล้ว รัฐบาลและภาคเอกชนต้องร่วมมือกันวางกรอบนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในประเทศ
นายสารัชถ์ กล่าวว่า ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับสงครามการค้า (Trade War) ระหว่างมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ และจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลายประเภท แต่ประเทศไทยยังคงมี เครื่องจักรเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะ การท่องเที่ยว การเกษตร และสาธารณสุข ที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
"ประเทศไทยยังมีศักยภาพสูงในด้าน การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ แต่รัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น จุดหมายปลายทางระดับโลก รวมถึงต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคมนาคม และมาตรการรักษาความปลอดภัย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ขณะที่ภาคการเกษตร ซึ่งเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ยังมีโอกาสในการเติบโต หากมีการนำเทคโนโลยี เช่น AI, IoT และหุ่นยนต์การเกษตร มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารให้มีมาตรฐานสูงขึ้น และส่งออกไปยังตลาดโลกได้มากขึ้น"นายสารัชถ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยจะมีจุดแข็งหลายด้าน แต่ก็ยังมี ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะ หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน รัฐบาลต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดี ทุกอย่างก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
“การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เทคโนโลยี และเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า หากภาครัฐและเอกชนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศไทยจะสามารถแข่งขันในเวทีโลก และก้าวสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน”นายสารัชถ์กล่าว
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี