นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (บลจ.ทิสโก้) เปิดเผยว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา บลจ.ทิสโก้ ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้าเริ่มเข้าใจการลงทุนและรับความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น ประกอบกับความสำเร็จในด้านการบริหารกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ ส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ(AUM)ของ บลจ.ทิสโก้ เติบโต 40% จาก 290,239 ล้านบาท ในปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 406,802 ล้านบาท ในปี 2567 หรือเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
สำหรับในปี 2568 จะยังคงมุ่งเน้นการเติบโต การขยายฐานลูกค้าและ AUM ในทั้ง 3 ธุรกิจ ทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล และโดยเฉพาะธุรกิจกองทุนรวม บลจ.ทิสโก้ มุ่งขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางตัวแทนผู้สนับสนุนการขายและช่องทางออนไลน์ พร้อมมองหาโอกาสในการออกผลิตภัณฑ์กองทุนใหม่ๆ รวมถึงการนำเสนอกองทุนที่ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กองทุนทริกเกอร์ ซึ่งจะทยอยออกในช่วงที่ตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศมีความผันผวนหรือปรับตัวลดลง โดยเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนระยะสั้นให้แก่นักลงทุนได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากในปี 2567 บลจ.ทิสโก้ เปิดเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ 6 กองทุน สามารถบริหารและถึงเป้าหมายในระยะเวลาลงทุนได้ 5 กองทุน
ทั้งนี้จะเดินหน้าแนะนำ 2 ธีมกองทุนรวมที่โดดเด่นของปี 2568 ได้แก่ ธีมที่ได้ประโยชน์จากนโยบายทรัมป์ 2.0 ประกอบด้วย กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจAIของสหรัฐ กองทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ และกองทุนหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐ รวมถึงธีมกองทุนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาด(Laggard Play)ในปีที่ผ่านมา
ประกอบด้วย กองทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็กของสหรัฐ กองทุนหุ้นเอเชีย กองทุนหุ้นเวียดนาม
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 ยังคงมีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นทั่วโลกมีมูลค่า(Valuation) ค่อนข้างแพง โดยเฉพาะฝั่งตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ที่เดินหน้ามาตรการสงครามการค้า ส่งผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจทั่วโลก
โดย บลจ.ทิสโก้ ยังคงคาดว่าหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินของสหรัฐ หุ้นกลุ่มการบริโภคที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในปี 2568 โดยหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินจะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ขณะที่หุ้นกลุ่มการบริโภคของสหรัฐ จะได้รับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่งหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ที่ราคาหุ้นไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนักในปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดหุ้นจีนเป็นอีกตลาดหุ้นที่น่าจับตา เพราะราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯเริ่มเห็นผล แต่ความเสี่ยงต่างๆ ที่จีนเผชิญในปี 2567 ยังคงอยู่และมีความเสี่ยงจากนโยบายทรัมป์เข้ามาเพิ่มในปี 2568
สำหรับตลาดหุ้นไทยในปี 2568 คาดว่าดัชนีจะปิดปีที่ 1,530 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปี 2567 แม้ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้น แต่เป็นการเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวอยู่เฉพาะบางอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก พลังงาน อาหาร ซอฟต์แวร์ ซึ่งไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้าง จึงยังไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่อุตสาหกรรมที่มีแรงงานจำนวนมาก ยังไม่เติบโตดีเท่าที่ควร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี