นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยว่า กว่า 83 ปี ที่ไทยประกันชีวิตมุ่งมั่นดูแลชีวิตของคนไทยผ่านการสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้ทุกครอบครัวไทย พร้อมประกาศก้าวสู่บริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ด้วยเจตนารมณ์การดำเนินธุรกิจ (Business Propose) ในการเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต การประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล หรือ Life Solutions Provider เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในรูปแบบเฉพาะบุคคล (Personalize) ผ่านการส่งมอบสุขภาพที่ดี ชีวิตที่ดี และความมั่นคง มั่งคั่งในบั้นปลายชีวิต
ทั้งนี้เพื่อยกระดับการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสีย พร้อมตอกย้ำการเป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในสังคม ให้ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต คุณค่าของความรัก พร้อมเติมเต็มการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและความหมาย ในปี 2568 บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดการดูแลด้วยหัวใจ และกำหนดให้เป็นวัฒธรรมองค์กรของไทยประกันชีวิต ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มากกว่าการประกันชีวิต ที่คำนึงถึงประโยชน์และความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการข้อมูลเป็นเครื่องมือสนับสนุน เพื่อให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสมกับผู้บริโภคในในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกรูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyle)
“เราเน้นพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีความแตกต่างกัน ด้วยอัตราเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสม และเอื้อให้คนไทยเข้าถึงผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรงได้ง่ายขึ้น ซึ่งในปัจจุบันที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ไทยประกันชีวิตจึงได้พัฒนาแพ็กเกจผลิตภัณฑ์และบริการแบบครบวงจรในลักษณะ Ecosystem สำหรับกลุ่มเป้าหมาย Silver Age รวมถึงการพัฒนาสัญญาเพิ่มเติมที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ Copayment ที่กำลังจะเริ่มบังคับใช้” นายไชยกล่าว
ทั้งนี้บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพการบริการด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการทำธุรกรรมด้านประกันชีวิตด้วยตัวเอง และส่งมอบประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ โดยลูกค้าสามารถเข้าถึงการทำธุรกรรม การบริการ รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ทุกที่และทุกเวลา ผ่าน TLI Application ผสานกับการพัฒนาบริการในลักษณะ e-Service ที่หลากหลาย เช่น e-Policy กรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์, e-Paymentการชำระเบี้ยประกันผ่านช่องทางออนไลน์, e-Claim การเคลมสินไหมผ่านแอปพลิเคชัน, e-Manual คู่มือผู้เอาประกันภัยอิเล็กทรอนิกส์, e-Invoice การรับใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปพลิเคชัน หรือ AI Chat ที่จะให้บริการข้อมูลด้านการประกันชีวิตผ่านไลน์ เป็นต้น
“ไม่เพียงแต่การพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ไทยประกันชีวิตยังพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนการทำงานของฝ่ายขาย คือ MDA 4Plus เพื่อให้ฝ่ายขายสามารถนำเสนอขาย บริการลูกค้า สร้างทีมงานและบริหารทีมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น”นายไชยกล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังเชื่อมต่อแบรนด์ไทยประกันชีวิตกับผู้บริโภค โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม “Live Bright เพื่อนผู้ช่วยสุดสมาร์ทที่ช่วยค้นหาสิ่งที่คุณอยากทำ” เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนให้คนสามารถออกไปใช้ชีวิตได้แบบ End 2 End ตั้งแต่การสร้างแรงบันดาลใจ การกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ การวางแผนหรือกำหนดรูปแบบกิจกรรมที่ตรงตามไลฟ์สไตล์ ตรงตามความชอบและความมุ่งหวัง ซึ่งสอดคล้องกับ Insight ของคนในปัจจุบันที่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบ จนทำให้บางครั้งไม่มีเวลาในการวางแผนออกไปใช้ชีวิตตามที่ตัวเองชื่นชอบ หรือใช้เวลากับคนที่รักอย่างมีความหมาย
นายไชย กล่าวว่า สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวสู่บริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน คือบุคลากรไทยประกันชีวิต จึงดำเนินธุรกิจในลักษณะ People Business โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาศักยภาพ และปรับเปลี่ยน Mindset บุคลากร ด้วยการสร้างแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือ Lifelong Learning โดยริเริ่มโครงการ School of Get สำหรับผู้บริหารและบุคลากรฝ่ายขาย
“School of Get เป็นโครงการที่ไทยประกันชีวิตริเริ่มขึ้น เพื่อมุ่งพัฒนาผู้นำยุคใหม่ด้วยแนวคิด Lifelong Learning เสริมทักษะแห่งอนาคต สร้าง Mindset แห่งการเรียนรู้ เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำยุคใหม่ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์แบบ One Team ระหว่างฝ่ายขายและสำนักงานใหญ่ เพื่อพร้อมขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ เราต้องการสร้างผู้นำที่มีความมั่นใจ ทันสมัย และพร้อมเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ เพื่อปูทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนของไทยประกันชีวิต” นายไชยกล่าว
นอกเหนือจากการความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ไทยประกันชีวิตยังให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าร่วมระหว่างธุรกิจและสังคม โดยนำแนวทาง ESG มาผนวกเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ครอบคลุมทั้้งในมิติเศรษฐกิจ มิติสังคม มิติสิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ดำเนินธุรกิจด้วยการแสวงหากำไรที่เหมาะสม (Optimize Profit) และแบ่งปันกำไรส่วนหนึ่งคืนกลับสู่สังคม เพื่อให้บริษัทและสังคมไทยเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กัน
นายไชย กล่าวว่า ไทยประกันชีวิตไม่ได้เพิ่งเริ่มปรับตัว แต่เราปรับเปลี่ยนองค์กรมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานเพื่อให้เท่าทันกระแสที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และรองรับความต้องการของลูกค้าที่ปรับเปลี่ยน โดยลูกค้ามีความคาดหวังมากขึ้น ต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นทั้งจากคู่แข่งในธุรกิจและนอกธุรกิจ เราจึงมีเป้าหมายที่จะทำให้ไทยประกันชีวิตเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจคนไทย และสามารถส่งมอบและสร้างแรงบันดาลใจอย่างยั่งยืนให้กับสังคมไทย
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี