นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 3-9 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ศูนย์ AOC 1441 (Anti Online Scam Operation Center) ได้มีรายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง จำนวน 5 เคส ประกอบด้วย
คดีที่ 1 คดีหลอกลวงให้รักแล้วโอนเงิน (Romance Scam) มูลค่าความเสียหาย 3,561,505 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Facebook ใช้โพรไฟล์เป็นชายหนุ่ม หน้าตาดีทักมาทำความรู้จักผ่านทาง Messenger Facebook และได้เพิ่มเพื่อนทาง Line พูดคุยสนทนากันจนสนิทใจแต่ยังไม่เคยพบเจอกัน จากนั้นมิจฉาชีพแจ้งว่าให้โอนเงินไปร่วม ลงทุนเทรดหุ้นเพื่อเป็นเงินในการสร้างอนาคตร่วมกัน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป ต่อมามิจฉาชีพแจ้งว่ากำลังป่วยต้องการเงินมารักษา จึงขอให้ผู้เสียหายโอนเงินไปให้อีกหลายครั้ง ยอดเงินครั้งสุดท้ายเป็นเงินจำนวนสูงมากจนน่าสงสัย จึงขอพูดคุยผ่านวิดีโอคอล แต่อีกฝ่ายปฏิเสธและทำการบล็อกไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 2 คดีหลอกลวงเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล มูลค่าความเสียหาย 5,700,000 บาท โดยผู้เสียหายพบโฆษณาลงทุนเทรดเงินดิจิทัลผ่านช่องทาง Tiktok ผู้เสียหายสนใจจึงเพิ่มเพื่อนผ่านทาง Line จากนั้นมิจฉาชีพให้ทำการกรอกข้อมูลส่วนตัวและติดตั้งแอปพลิเคชันที่ใช้ในการลงทุน โดยแจ้งว่าให้โอนเงินตามที่แนะนำเพื่อรับผลตอบแทนคืนกลับมาเร็ว หลังจากโอนเงินไปแล้วทำการเทรดอีกหลายครั้ง ช่วงแรกได้กำไรจากการเทรดและถอนได้จริง ต่อมา ผู้เสียหายต้องการถอนเงินแต่ไม่สามารถถอนได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าหากต้องการถอนเงินต้องโอนเงินเพื่อเป็นค่าใช้บริการแอปพลิเคชันก่อนจึงสามารถถอนเงินได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงิน ไป ภายหลังจากโอนเงินไปไม่สามารถติดต่อได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 3 คดีหลอกลวงเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน มูลค่าความเสียหาย 3,505,000 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างเป็นหลาน แจ้งให้เพิ่มเพื่อนทาง Line จากนั้นแจ้งให้ลบเบอร์โทรศัพท์เเละ Line เก่าทิ้ง เนื่องจากทำโทรศัพท์สูญหาย ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงทำตามที่มิจฉาชีพบอก ต่อมามิจฉาชีพแจ้งว่าขอยืมเงินเพื่อนำไปลงทุนเทรดหุ้น หากได้ผลตอบแทนกลับมาจะนำมาแบ่งปัน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปหลายครั้ง ภายหลังไม่สามารถติดต่อได้ จึงโทรศัพท์ติดต่อญาติที่อยู่กับหลานพบว่าโทรศัพท์ของหลานไม่ได้สูญหาย และไม่ได้ติดต่อมา ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 4 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 7,423,305 บาท ทั้งนี้ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Facebook ชักชวนหารายได้พิเศษ ผู้เสียหายสนใจจึงเพิ่มเพื่อนทาง Line แล้วถูกดึงเข้าร่วม Group Line เพื่อลงขายสินค้าของตนเอง จากนั้นมิจฉาชีพแจ้งว่าจะต้องโอนเงินเพื่อเป็นค่าสมัครใช้บริการก่อนจึงจะสามารถลงขายสินค้าได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไป ในช่วงแรกสามารถขายสินค้าและได้รับเงินจริง ต่อมามีการให้เข้าร่วมกิจกรรมโดยให้โอนเงินลงทุนเพื่อซื้อสินค้าหลากหลายประเภท มิจฉาชีพแจ้งว่าให้โอนเงินซื้อสินค้าราคาสูงเพื่อจะได้รับค่าตอบแทนจำนวนมากและรวดเร็ว ภายหลังผู้เสียหายต้องการถอนเงินแต่ไม่สามารถติดต่อกับทางมิจฉาชีพได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอก
และคดีที่ 5 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ มูลค่าความเสียหาย 8,061,259 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัท ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แจ้งว่าผู้เสียหายเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัลสินค้าจากทางบริษัท จากนั้นให้เพิ่มเพื่อนทาง Line และส่งรางวัลสินค้าให้เลือก ต่อมาดึงเข้า Group Line เพื่อให้ยืนยันสิทธิ์และร่วมทำภารกิจกลุ่ม โดยให้กดติดตามเพจที่บริษัทกำหนด มีการให้โอนเงินเข้าไปในระบบก่อนและหากทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดจะได้รับเงินรางวัลจำนวนมาก พร้อมทั้งส่วนลดราคาสินค้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในระยะแรกได้รับผลตอบแทนจริง ผู้เสียหายจึงเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปในระบบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้และไม่ได้รับรางวัลหรือส่วนลด ตนเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก
สำหรับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้ง 5 คดี รวม 28,251,069 บาท
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 มีตัวเลขสถิติผลการดำเนินงาน ดังนี้
1. สายโทรเข้า 1441 จำนวน 1,461,074 สาย / เฉลี่ยต่อวัน 3,142 สาย
2. ระงับบัญชีธนาคาร จำนวน 517,954 บัญชี / เฉลี่ยต่อวัน 1,224 บัญชี
3. ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ (1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 160,655 บัญชี คิด เป็นร้อยละ 30.94 (2) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 122,086 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 23.62 (3) หลอกลวงลงทุน 75,076 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 14.53 (4) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 51,128 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 9.69 (5) หลอกลวงให้กู้เงิน 37,964 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 7.39 (และคดีอื่นๆ 71,045 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 13.83)
“จากเคสตัวอย่างจะเห็นได้ว่า มิจฉาชีพ ใช้วิธีการต่างๆ หลอกลวงผู้เสียหาย ทั้งการหลอกให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล หลอกให้ลงทุนซื้อสินค้า เพื่อหารายได้พิเศษ หรือหลอกลวงชวนเทรดหุ้น ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย คือ Facebook และส่วนใหญ่มีการให้เพิ่มเพื่อนทาง Line เพื่อสมัครเข้าร่วมลงทุน และมีการใช้ข้ออ้างต่างๆ เพื่อหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังพบเคสที่หลอกลวงว่าเป็นญาติผู้เสียหาย ยืมเงินเพื่อไปลงทุนแล้วอ้างให้ผมตอบแทน ทั้งนี้ขอย้ำว่า การลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ขอให้ผู้เสียหายตรวจสอบ และติดต่อสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด รวมทั้งหากมีการอ้างว่าเป็นญาติ ควรตรวจสอบกับกับญาติหรือคนใกล้ชิดให้แน่ใจ ก่อนมีการโอนเงิน หรือทำธุรกรรมใดๆ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง” นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนยึดหลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ อย่ากดเข้าลิงก์เว็บไซต์ หรือดาวน์โหลด และอัปโหลดแพลตฟอร์ม ที่มีการส่งต่อจากช่องทางที่ไม่แน่ใจ โดย กระทรวง ดีอี ได้เร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยอาชญากรรมออนไลน์ ผ่านศูนย์ AOC 1441 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
หากประชาชนโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441
แจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี