นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินงานในปี 2025 ว่า ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบสนองความต้องการนักลงทุนทุกกลุ่มในสถานการณ์ที่ทั่วโลกยังเผชิญความผันผวน ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจและสงครามการค้าจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสิ่งสำคัญคือการติดตามข้อมูลข่าวสารและให้คำแนะนำอย่างรวดเร็วแม่นยำ โดยบลจ.อีสท์สปริง ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาเพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนเพื่อเป้าหมายในการประสบความสำเร็จจากการวางแผนทางการเงินผ่านกองทุนรวมในระยะยาว
ทั้งนี้ ด้วยการดำเนินงานเชิงรุก ในปีที่ผ่านมา บลจ.อีสท์สปริง ประสบความสำเร็จจากผลการดำเนินงานของกองทุนทุกประเภท โดยมีอัตราเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวม 14% ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 2024 โดยแบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวม เติบโต 14.93% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เติบโต 10.16% และ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 7.31% สูงกว่าอุตสาหกรรมธุรกิจการจัดการกองทุนAUM รวมเติบโตเกือบ 10% แบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวม เติบโต 14.10% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เติบโต 6.41 % และ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลเติบโต 2.21% (ข้อมูล AIMC ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024)
“ความสำเร็จในปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการดำเนินงานเชิงรุก ทั้งการออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ การพัฒนานวัตกรรมการลงทุนที่สมบูรณ์แบบอย่าง Fund Link Application PVD Digital Platform ที่ประกอบด้วย Eastspring M Choice PVD Mobile Application สำหรับสมาชิก, Eastspring PVD Employer Online สำหรับผู้ประสานงานสำหรับฝั่งนายจ้าง และ Eastspring PVD Fund Committee Mobile Application สำหรับคณะกรรมการกองทุน ที่ออกแบบมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพจนเป็นที่ยอมรับ ซึ่งในปีนี้เรายังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยมีเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มสนใจการลงทุนและวางแผนการเงินเอย่างมากมายพิ่มขึ้น นอกจากกลยุทธ์การให้ความรู้แก่นักลงทุนอย่างเข้มข้นแล้ว ยังมุ่งสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ พร้อมขยายช่องทางการจำหน่ายให้เข้าถึงกลุ่มนักลงทุนได้กว้างขึ้น ควบคู่กับการออกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การลงทุน รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเพื่อตอบสนองนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่มีความรู้และไม่มีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุน ทำให้สามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างง่ายดาย สะดวก และรวดเร็ว พร้อมมีทางเลือกตามความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้” นางสาวดารบุษป์กล่าว
สำหรับในปีนี้ บลจ.อีสท์สปริงมองเห็นโอกาสการลงทุนในแต่ละภูมิภาค และแต่ละสินทรัพย์ที่มีความแตกต่างกัน การคัดเลือกกองทุนและจัดสรรพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์จะเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุน ซึ่งปัจจุบันบลจ.อีสท์สปริงมีกองทุนหลากหลายกองทุนภายใต้การบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพด้วยความเชี่ยวชาญ ที่จะช่วยให้นักลงทุนก้าวข้ามขีดจำกัดและไม่พลาดโอกาสครั้งสำคัญ
นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกจะอยู่ในระดับปานกลางในช่วงครึ่งปีแรก 2025 โดยภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและจีนจะเป็นตัวแปรของการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมองว่าจากนโยบายรัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่จะสนับสนุนการเติบโตระยะสั้นและสนับสนุนแนวโน้มดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าในระยะกลาง รวมทั้งจะทำให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้นและอาจทำให้รอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดช้าลง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมของเฟดอาจจะสูงขึ้น พันธบัตรอาจถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น และควรเน้นไปยังตราสารหนี้คุณภาพ
ทั้งนี้ ผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ยังคงยากที่จะคาดเดาและหลายประเด็นอาจไม่ได้นำไปปฏิบัติทั้งหมด ความล่าช้าของนโยบายและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเงินเฟ้อและแนวโน้มของทิศทางดอกเบี้ยจะนำไปสู่ความผันผวนของตลาดที่สูงขึ้น ขณะที่ในเอเชียและตลาดเกิดใหม่มีความดึงดูดในแง่ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว และปัจจัยขับเคลื่อนในระยะยาวยังคงอยู่ เช่น การใช้จ่ายเงินทุนที่เพิ่มขึ้น การลดการปล่อยคาร์บอน และการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานน่าจะช่วยยกระดับรายได้ของบริษัทจดทะเบียน
สำหรับประเทศที่น่าจับตามองและเป็นโอกาสการลงทุนในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ประกอบด้วย
1. จีน : ที่ยังมีมุมมองที่ดีแต่ยังคงระมัดระวังผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ แต่การประเมินมูลค่าหุ้นค่อนข้างถูกและมาตรการการกระตุ้นทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นจะช่วยลดผลกระทบจากความท้าทายจากภายนอกได้ รวมถึงมาตรการที่กระตุ้นภาคการบริโภค
2.อินเดีย : การบริหารจัดการเชิงรุกถือเป็นปัจจัยสำคัญท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับโมเมนตัมของเศรษฐกิจของอินเดียที่ชะลอตัวลง และการประเมินมูลค่าตลาดที่ตึงตัว บริษัทในอินเดียยังคงค่อนข้างแข็งแรง โดย ROE กำลังดีขึ้นและอัตราส่วนหนี้สินกำลังลดลง การปรับฐานของตลาดในอินเดียในไตรมาส 4 ปี 2024 ทำให้ผู้ลงทุนมีจุดเข้าลงทุนที่น่าสนใจมากขึ้น หุ้นขนาดใหญ่มีราคาที่น่าสนใจมากกว่าหุ้นขนาดเล็ก
3.ญี่ปุ่น การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นอาจขยายวงกว้างไปยังหุ้นขนาดกลางถึงเล็ก ซึ่งน่าจะได้รับประโยชน์จากค่าจ้างที่สูงขึ้นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น คาดว่าการปฏิรูปองค์กรต่างๆ จะดำเนินต่อไป ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลกำไรและราคาหุ้น และเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก แต่จะส่งผลดีต่อบริษัทในประเทศที่พึ่งพาการนำเข้า
4.อินโดนีเซีย : นโยบายสนับสนุนการเติบโตของรัฐบาลปราโบโวและมาตรการทางการคลัง คาดว่าจะช่วยเสริมสร้างภาคสินค้าอุปโภคบริโภคและการเงิน การให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการประชาชนของรัฐบาล จะช่วยกระตุ้นการบริโภคและสร้างโอกาสให้กับบริษัทที่จำหน่ายอาหารที่เน้นความคุ้มค่าคุ้มราคา
5.เวียดนาม : บริษัทในกลุ่มการเงิน สินค้าอุปโภคบริโภค เทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึง โลจิสติกส์ อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย
6.ประเทศไทย : แม้ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ความไม่แน่นอนด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ลดลงในบริษัทจดทะเบียน และการขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) แต่ตลาดไทยยังได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นทางการคลังที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าปี 2024 กลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้และธุรกิจ Healthcare ซึ่งเป็นกลุ่มเชิงรับคาดว่าจะเป็นกลุ่มได้รับประโยชน์จากความผันผวนของตลาด
“ด้วยภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนมากขึ้น นักลงทุนจึงจำเป็นต้องมีวินัยในการบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk-Adjusted Returns) โดยกลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ การลงทุนแบบผสมหลายสินทรัพย์ (Multi – Asset) และการลงทุนที่เน้นรายได้จากเงินปันผล จะช่วยลดความเสี่ยงด้านลบและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ การคว้าโอกาสจากเทรนด์ที่มาแรงจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมสู่เทคโนโลยีสีเขียวเป็นโอกาสการลงทุน ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีในเอเชียเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าสำหรับการลงทุนใน AI” นายยิ่งยงกล่าว
นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยถึงธีมการลงทุนที่น่าสนใจและแนะนำในปี 2025 ว่า ประกอบด้วย 4 ธีมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ในปีนี้ได้แก่ 1. โอกาสในเอเชีย โดยคาดว่ากองทุนเอเชียที่มีความผันผวนต่ำจะเป็นโอกาสในการลงทุน โดยมองว่าประเทศอินเดียยังคงมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงการขยายตัวของประชากร และค่าเฉลี่ยแรงงานที่อายุไม่มากซึ่งส่งผลดีต่อกำลังซื้อ ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นจากค่าแรงที่ปรับตัวขึ้น โดยกองทุนที่แนะนำได้แก่ ES-JPNAE ES-INDAE และ ES-ALOVE* (ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในวันที่ 14-21 กุมภาพันธ์ 2025)
2. การเติบโตที่มีศักยภาพ: คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะยังคงขยายตัวได้ท่ามกลางความผันผวน และคาดว่ากำไรจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2025 กองทุนที่แนะนำคือ ES-USBLUECHIP
3. การเข้าสู่โหมดลดอัตราดอกเบี้ย : คาดว่าเฟดจะยังคงลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ซึ่งอาจจะเป็นในช่วงครึ่งปีหลัง และการลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็ตาม แต่เมื่อรวมกับผลตอบแทนที่น่าสนใจ เราเชื่อว่าตราสารหนี้คุณภาพสูงและกลยุทธ์การปรับอายุตราสาร(Duration)ที่ยืดหยุ่นจะเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ กองทุนที่แนะนำคือ ES-GINCOME
4. การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ : ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความผันผวน การมีกองทุนเชิงรับในพอร์ตเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างสมดุลให้กับการลงทุน โดยกองทุนที่แนะนำคือ ES-HEALTHCARE
“สำหรับแนวทางการจัดพอร์ตในปีนี้ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยมากแนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 70% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 30% นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 45% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 30% กองทุนหุ้นต่างประเทศ 25% นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง แนะนำลงทุน กองทุนหุ้นต่างประเทศ 45% กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 20% กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 5 % นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศ 65% กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25% กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 5 % และ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากที่สุด แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศ 80% กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 10 %” นายบดินทร์กล่าว
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี