นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทมีอัตราการเติบโตด้านการเงินสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง โดยมีกำไรสุทธิ 7,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากปีก่อนหน้า โดยไตรมาส 4 ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 3,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 269% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น ซึ่งจะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในการเติบโตและการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในปี 2568

ทั้งนี้ ธุรกิจโรงแรมของบริษัทเติบโตต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของการเดินทางทั่วโลกและกลยุทธ์ในตลาดสำคัญ โดยในยุโรปและอเมริการายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้น 9% ราคาห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่ในไทย รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้น 17% จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น การขยายเส้นทางบิน และกลยุทธ์การขายที่เจาะกลุ่มนักเดินทางคุณภาพสูงจากสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย โดยในปี 2567 ได้เปิดโรงแรมใหม่ 30 แห่ง และใช้โมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model)เป็นหลัก ส่งผลให้มีฐานดำเนินงานที่แข็งแกร่งในเมืองสำคัญทั่วเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และโอเชียเนีย

สำหรับธุรกิจร้านอาหารของไมเนอร์ ฟู้ด ก็เติบโตแข็งแกร่ง มียอดขายรวมทุกสาขาในไทยเพิ่มขึ้น 8% และในสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 12% จากการเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิมและจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเปิดตัวร้าน “สเต็ก แอนด์ มอร์”ในไทย และร้าน “แบทเทอร์แคช” ในสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังเร่งขยายธุรกิจผ่าน Asset-light Model โดยการขายแฟรนไชส์แบรนด์ระดับโลก เช่น “เบนิฮานา”, “ซิซซ์เล่อร์” และ “กาก้า” ทั้งในไทย ปารีส ญี่ปุ่น และเวียดนาม

นายดิลิปกล่าวว่า ในปี 2568 เตรียมใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยไทยจะได้รับความสนใจจากซีรี่ส์ “The White Lotus ซีซั่น 3” นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมเปิดโรงแรมใหม่ในสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายตลาดที่มีศักยภาพ พร้อมผลักดันธุรกิจร้านอาหารผ่านนวัตกรรมแบรนด์และการขยายแฟรนไชส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานปี 2567–2570 ที่ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ต่อปีที่ 6-8% การเติบโตของกำไรสุทธิที่ 15-20% และผลตอบแทนจากเงินลงทุนมากกว่า 12% โดยตั้งเป้าขยายธุรกิจโรงแรม 850 แห่ง และร้านอาหาร 4,000 แห่ง ภายในปี 2570