นางศศิเนตร พหลโยธิน รักษาการประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT ผู้นำในธุรกิจรับเหมาระบบสารสนเทศและการสื่อสารอย่างครบวงจร ถึงผลการดำเนินงานประจำปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากงบเฉพาะกิจการอยู่ที่ 7,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากงบเฉพาะกิจการอยู่ที่ 6,514 ล้านบาท นับเป็นการสร้างสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา ด้วยผลสำเร็จจากการบริหารและดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในทุกมิติ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 573 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 497 ล้านบาท
โดยที่ผ่านมา งบประมาณรายจ่ายของภาครัฐประจำปี 2567 ที่มีการอนุมัติล่าช้าทำให้โครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เคยถูกชะลอการลงทุนได้เริ่มเข้ามาในปี 2567 ประกอบกับโครงการที่อยู่ในปีงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ก็ผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรในเดือนกันยายน 2567 และมีการเบิกจ่ายเงินลงทุนแล้วบางส่วน ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการรับรู้งานโครงการจากทางภาครัฐเพิ่มมากขึ้น
ด้วยผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในปี 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) มีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิและกำไรสะสมของบริษัทฯเพิ่มอีกในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท (สี่สิบสตางค์) กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 18 เมษายน 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 สำหรับสิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทในวันที่ 4 เมษายน 2568 ทั้งนี้ เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท (สิบห้าสตางค์) ที่จ่ายเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ส่งผลให้ในปี 2567 บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท (ห้าสิบห้าสตางค์) ถือเป็นการตอกย้ำว่า AIT เป็นหนึ่งในหุ้นปันผล (Dividend Stock) ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นอยู่เสมอมา
ขณะเดียวกัน บอร์ดฯ ได้มีมติเห็นควรให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ในวันที่ 4 เมษายน 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติวาระการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วน (Voluntary Partial Tender Offer) จากผู้ถือหุ้นเดิมของ AIT โดย บมจ. เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส หรือ TKC จำนวนไม่เกิน 153,641,557 หุ้น หรือคิดเป็น 10.00% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 5.20 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมไม่เกิน 798,936,096.40 บาท อย่างไรก็ตาม หากได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น AIT จะทำให้ TKC ถือหุ้นใน AIT เป็นสัดส่วนไม่เกิน 34.90% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (หลังธุรกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้น) ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจให้มากขึ้น จากการเป็น Strategic Partner ในการดำเนินธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคมแบบครบวงจร หรือ System Integrator (SI) พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการโซลูชั่นด้านดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานไอที รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนในการเข้าสู่ยุคของ AI และ Digital Transformation อย่างไรก็ตาม การบริหารงานจะอยู่ภายใต้โครงสร้างการบริหารของทีมผู้บริหารชุดเดิมที่ยังคงทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการดำเนินงานและบริหารงาน ทั้งนี้ เพื่อก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในประเทศไทย
นางศศิเนตร กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในปี 2568 คาดว่า การลงทุนในธุรกิจ System Integrator (SI) จะยังทรงตัว อย่างไรก็ตาม โอกาสการเติบโตที่สำคัญมาจากนโยบายภาครัฐฯ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ดิจิทัลของภาครัฐฯ ที่เน้นการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government), โครงสร้างพื้นฐาน Cloud และ Cybersecurity รวมถึงการลงทุนใน Smart City และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชนชน ขณะที่ในส่วนของนโยบาย Cloud First ของภาครัฐฯ ยังเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้หน่วยงานรัฐเปลี่ยนไปใช้ Government Cloud มากขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะส่งเสริมให้บริษัทฯ ได้เข้ารับงานเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สำหรับในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าทำรายได้แตะที่ระดับ 6,800 ล้านบาท ถือเป็นการตั้งเป้ารายได้แบบคอนเซอร์เวทีฟ (Conservative) พร้อมรักษาระดับการทำอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย 7-8% ภายใต้แนวทางการดำเนินธุรกิจใน 5 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.) ขยายฐานลูกค้าสร้างการเติบโตของรายได้ 2.) สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าหรือพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทฯ 3.) พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการทำงานที่ท้าทาย 4.) พัฒนาระบบภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และ 5.) ขยายธุรกิจที่สร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่ให้ผลตอบแทนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ปัจจุบัน AIT มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท รวมถึงจำนวนมูลค่างานที่อยู่ระหว่างรอคำสั่งซื้อจากลูกค้า (Waiting for P/O) อีกจำนวน 80 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี