สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงข่าวภาพรวมธนาคารพาณิชย์ ในไตรมาส 4 และปี 2567 โดยระบุว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุนเงินสำรอง และสภาพคล่อง อยู่ในระดับสูง โดยสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 4 ปี 2567หดตัว 0.4% จากระยะเดียวกันปีก่อนลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่หดตัว 2.0% โดยขยายตัวจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัวลดลง ด้านสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและรายได้กลุ่มเปราะบางที่ฟื้นตัวช้า
ทั้งนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อ NPL ไตรมาส 4 ปี 2567 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 552.1 พันล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.78% โดยมากจากสินเชื่อธุรกิจเป็นหลัก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการคุณภาพหนี้และการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งลูกหนี้บางส่วนสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ปรับชั้นดีขึ้นมาอยู่ที่ Stage 2 ประกอบกับมีการจัดชั้นเชิงคุณภาพของสินเชื่อธุรกิจ ส่งผลให้สินเชื่อ stage 2 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.98% สำหรับผลการดำเนินงาน ปี 2567 ปรับดีขึ้นจากปีก่อน จากทั้งรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยตามการวัดมูลค่าตราสารทางการเงินเป็นสำคัญ และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ประกอบกับค่าใช้จ่ายสำรองลดลงจากการตั้งสำรองสูงในปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ SMEs และครัวเรือนบางกลุ่มที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีภาระหนี้สูง รวมถึงธุรกิจในกลุ่มที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันปรับลดลง ตลอดจนติดตามผลสำเร็จของการให้ความช่วยเหลือภายใต้โครงการคุณสู้เราช่วยโดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 3 ปี 2567 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลง ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ปรับลดลงตามการหดตัวของสินเชื่อและตราสารหนี้ ด้านความสามารถในการทำกำไรโดยรวมลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนโดยเฉพาะภาคการผลิต แม้จะมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน Krungthai COMPASS ธ.กรุงไทย ระบุว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวต่ำกว่าคาดที่ 2.5% และต่ำกว่าระดับศักยภาพ แม้การส่งออกสินค้าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับไม่เห็นผลดีที่ชัดเจน สะท้อนผ่านดัชนี MPI ที่หดตัวในหลายหมวดสินค้า อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ สินค้าคงคลังที่ลดลงสูงและมี contribution ต่อ GDP ในปีนี้มากเป็นประวัติการณ์ทำให้ต้องเร่งติดตามพัฒนาการของความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่อาจกลายสภาพเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างใหม่ของเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ มาตรการกีดกันทางการค้าที่เริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น และเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ อาจส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 2568 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด โดยเฉพาะด้านการส่งออกสินค้าที่ Krungthai COMPASS คาดว่าจะขยายตัวได้ใกล้เคียงระดับ 6% ในครึ่งปีแรกก็อาจได้รับผลกระทบให้ขยายตัวได้ต่ำ อีกทั้งอาจส่งผลให้ปัญหาการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศที่มีอยู่เดิมทวีความรุนแรงมากขึ้นความเสี่ยงที่ทยอยชัดเจนมากขึ้นทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีความจำเป็นที่ต้องอาศัยมาตรการภาครัฐเพิ่มเติมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับความผันผวน
ด้าน รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หลังจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้ประมาณการจีดีพีปี 2568 ที่ 2.3-3.3% หรือค่ากลาง 2.8% นั้น ถือว่าเป็นการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมทั้งหมดและมีความเป็นไปได้สูงอย่างไรก็ตาม ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตระหว่าง 2.8-3.0% หากมี 3 ปัจจัยดังกล่าวนี้สนับสนุน คือ 1.ไม่มีสงครามการค้ารุนแรง ทุกอย่างตกลงกันได้ 2.สงครามจริงระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และสงครามในตะวันออกกลางต้องสงบ และ 3.การเมืองไทยมีเสถียรภาพ จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 เติบโตได้ระหว่าง 2.8-3% เช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี