23 ก.พ. 2568 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การลดช่องว่างทางรายได้ การแก้ความยากจนและสร้างความเป็นธรรมทางสังคมจำเป็นต้องดำเนินการใน 2 ด้าน คือ ด้านผู้มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอย่างเหลือล้น – ใช้แนวทางการคลัง การงบประมาณ การภาษี และการป้องกันการผูกขาด
ส่วนด้านคนยากไร้ – ผลักดันให้กลุ่มผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสหลุดพ้นจากภาวะขัดสนยากจนด้วยการสร้างโอกาสให้เข้าถึงปัจจัยการผลิต พัฒนาระบบสวัสดิการโดยรัฐอย่างเป็นระบบ จัดให้มีระบบการคุ้มครองทางสังคม (Social protection) และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบายสาธารณะ ทิศทางแนวนโยบายด้านสวัสดิการสังคมที่เป็นไปได้ และสามารถดำเนินการได้ทันทีคือ การสร้าง “สังคมสวัสดิการ (Welfare Society)” ขึ้นโดยผนึกกำลังจากภาคส่วนต่างๆ ในสังคมสร้างสรรค์สวัสดิการสังคมขึ้นในหลายรูปแบบ
มีการจัดการโดยหลายสถาบัน และสร้างความร่วมมือจากหลายฝ่ายให้เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตสวัสดิการอย่างกว้างขวางครอบคลุม โดยแต่ละรูปแบบและแต่ละสถาบันมีความเป็นอิสระต่อกัน ภายใต้ความรับผิดชอบและการดูแลของสังคมโดยรวม ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้และความมั่งคั่งของไทยจึงยังคงอยู่ในระดับสูงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
“จากการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุด พบว่า ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโควิด-19 ปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นและเศรษฐกิจฟื้นตัวแบบไม่เท่าเทียมเป็นรูปตัว K และ ความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้กลุ่มรวยสุด 10% แรกกับกลุ่มรายได้ต่ำสุด 10% ล่าง ต่างกันมากกว่า 20 เท่า กลุ่มคนรวยสุดร้อยละ 10 ถือครองรายได้รวมมากกว่า 35% ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า แนวคิดและนโยบายแบบประชานิยมเฟื่องฟูขึ้นท่ามกลางความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ “ประชานิยม” บรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้แก้โครงสร้าง และ ยังทำให้ “ประชาชนส่วนใหญ่” “นักการเมือง” และ “ข้ารัฐการ” ไม่ตระหนักและละเลยปัญหาในเชิงโครงสร้างอีกด้วย ขณะเดียวกัน รูปแบบวิธีการทางการเมืองแบบประชานิยมที่เกิดขึ้นในยุโรป สหรัฐอเมริกา ลาตินอเมริกา และเอเชียบางประเทศ จะก่อความขัดแย้งและทำให้ระบอบเสรีประชาธิปไตยอ่อนแอลง แปรสภาพเป็น ระบอบอำนาจนิยมจากการเลือกตั้งมากขึ้นตามลำดับ
วิธีการทางการเมืองแบบประชานิยมมุ่งสร้างคู่ตรงข้ามในเชิงศีลธรรมระหว่าง “ประชาชน” และ “ชนชั้นนำผู้ฉ้อฉล” เพื่อระดมการสนับสนุนจากมวลชนให้ชนะเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาในหลายประเทศที่มีนโยบายประชานิยม พบว่า ต้องอาศัยผู้นำที่มีบารมี (Charismatic Leadership) อาศัยระบบอุปถัมภ์ (Clientelism) มีปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรง และในหลายกรณีประชานิยมอาจไม่ได้นำมาสู่การบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำ นโยบายกระจายการจัดสรรทรัพยากร การกระจายรายได้กระจายความมั่งคั่ง ความสำเร็จของการลดความเหลื่อมล้ำเป็นผลจากการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและการสร้างความเป็นธรรมทางสังคมมากกว่า
ในกรณีของไทย มาตรการประชานิยมพักหนี้ แจกเงิน อาจไม่ได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตแบบยั่งยืน เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ บรรเทาปัญหาวิกฤติหนี้สิน ประเทศไทยจึงมีหนี้ครัวเรือนสูงเป็นอันดับสองในเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ และ อยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก ขณะเดียวกัน คนไทยมีหนี้สาธารณะที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบเฉลี่ยท่านละไม่ต่ำกว่า 1.7-1.8 แสนบาท รัฐบาลทำขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติมอีกในปีงบประมาณ 68 และ 69 ชาวไทยแต่ละท่านมีภาระหนี้สินส่วนครัวเรือนรวมหนี้สาธารณะมากกว่า 4.2 แสนบาท
ฉะนั้นการตั้งเป้าให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เต็มศักยภาพที่ 5-6% เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้เศรษฐกิจมีรายได้สูงขึ้น และต้องสร้างกลไกให้เกิดการกระจายรายได้มายังคนส่วนใหญ่อย่างทั่วถึง คือ ต้องปฏิรูปโครงสร้างการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจัง การพักหนี้ เจรจาประนอมหนี้ หรือ ลดดอกเบี้ยเป็นเพียงแค่บรรเทาแต่ไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาว ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจต้องแก้ด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจ
มาตรการประชานิยมช่วยได้แค่บรรเทาปัญหาในระยะสั้นเท่านั้น การดำเนินการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนและเป็นระบบ ต้องมีการยกระดับมาตรฐานกระบวนการให้สินเชื่อและการปฏิบัติกับลูกหนี้อย่างเป็นธรรม (Responsible Lending) ครอบคลุมตลอดวงจรหนี้ของลูกหนี้ อนึ่ง ชุดของนโยบายประชานิยมมักเชื่อมโยงกับการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำเสมอ และ มีองค์ประกอบสำคัญสองประการ คือ หนึ่ง มองเจตจำนงประชาชนเหนือกว่าหลักการด้านอื่นๆ สอง เจตจำนงของประชาชนควรสะท้อนผ่านความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างประชาชนกับผู้นำทางการเมือง
การพักหนี้ การแจกเงิน การขึ้นค่าแรงโดยยึดกรอบการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ดี ระมัดระวังในเรื่องวินัยการเงินการคลัง ย่อมไม่นำไปสู่ความไร้เสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค วิกฤติหนี้สาธารณะ อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง เหมือนประชานิยมในละตินอเมริกาในยุคฮวน เปรองแห่งอาร์เจนตินา ค.ศ. 1946-1955 หรือ อัลแบร์โต ฟูจิโมริแห่งเปรู ค.ศ. 1990-2000 บรรเทาปัญหาหนี้สินและลดความเหลื่อมล้ำได้บ้าง
วิกฤติหนี้สิน และ ความเหลื่อมล้ำรุนแรง จะกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่จะนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมในอนาคตของไทยได้ การบรรเทาปัญหาด้วยมาตรการระยะสั้นย่อมมีความจำเป็นไม่ต่างจากการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างด้วยมาตรการระยะยาว ความเหลื่อมล้ำไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำในโอกาส (Inequality of Opportunity) หรือ ความเหลื่อมล้ำของผลลัพธ์ (Inequality of Outcome) ก็ตาม จะกดดันให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงในระยะปานกลางและระยะยาว ศักยภาพและประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจถดถอยลง เป็นผลลบต่อเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยและความมั่นคงทางการเมืองและสังคม
ทั้งนี้ หากพรรคการเมืองใดต้องการวางเป้าหมายต้องการให้ประเทศไทยมีระบบรัฐสวัสดิการแบบยุโรปเหนือย่อมทำได้แต่เป็นเรื่องที่อาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้และไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน ประเทศรัฐสวัสดิการมักเป็นประเทศที่มีระบบราชการหรือระบบรัฐการที่ใหญ่ Bigger Government ไม่ใช่ Smaller Government ประเทศรัฐสวัสดิการต้องมีระบบราชการและระบบการเมืองที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นรัฐสวัสดิการที่ล้มเหลวหรือประสบปัญหาความยั่งยืนทางการเงินการคลัง เกิดวิกฤติทางการคลัง นำไปสู่การลดขนาดของระบบราชการและลดสวัสดิการของรัฐในที่สุด ปรากฎการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในบางประเทศในยุโรปใต้และฝรั่งเศส
“การเดินหน้าระบบรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบในไทย เรื่องแรกที่ต้องตอบให้ได้ คือ ระบบราชการไทยเป็นอย่างไร กรณีไทย ต้องปรับเปลี่ยนระบบราชการให้โปร่งใสมีประสิทธิภาพก่อน คือ ต้องปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่พร้อมกับการกระจายอำนาจการจัดระบบสวัสดิการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่องที่สอง คือ ต้องปฏิรูปรายได้ภาครัฐและเพิ่มภาษี ประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่เป็นประเทศรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบจะมีสัดส่วนรายได้ภาษีอยู่ที่ระดับ 42-48.9% ของจีดีพี อย่างเดนมาร์ก มีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีอยู่ที่ 48.9% สวีเดนอยู่ที่ 48.2%” รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังกล่าวอีกว่า ประเทศพัฒนาใน OECD มีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีเฉลี่ยอยู่ที่ 35% สหรัฐอเมริกาที่ใช้แนวคิดปัจเจกนิยมเสรี (Liberal Individualism) กับ แนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democracy) ผสมกันในจัดระบบสวัสดิการโดยรัฐ ขึ้นอยู่กับว่า พรรคแดโมแครต หรือ พรรครีพับรีกัน พรรคไหนเป็นรัฐบาล มีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีเฉลี่ยอยู่ที่ 28-30% ส่วนไทยมีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีเพียงแค่ 14% เท่านั้น จึงยังห่างไกลต่อการมีฐานะทางการคลังที่สามารถสนับสนุนรัฐสวัสดิการแบบเต็มรูปแบบอย่างสแกนดิเนเวียได้
โดยประเทศไทยเคยมีสัดส่วนการจัดเก็บรายได้อยู่ที่ระดับ 18% ในปี พ.ศ. 2539 ก่อนวิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี 2540 การจัดเก็บภาษีเพิ่มด้วยการเพิ่มอัตราภาษีในระยะ 1 – 2 ปีข้างหน้าอาจไม่เหมาะสมเนื่องจากเศรษฐกิจไทยเพิ่งอยู่ในระยะแรกของการฟื้นตัว ต้องดำเนินมาตรการให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นมากๆเต็มศักยภาพเพื่อเก็บภาษีได้เพิ่มโดยไม่ต้องเพิ่มอัตราภาษี
ส่วนการขยายฐานภาษีนั้นควรเดินหน้าจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ส่วนการจะก่อหนี้มาเพื่อจ่ายสวัสดิการสังคมเพิ่มควรต้องทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากขณะนี้ยอดหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมดเทียบกับจีดีพีขยับเข้าใกล้ 70% ตามลำดับ อนึ่ง กองทุนประกันสังคมถูกออกแบบไว้อย่างดีเพื่อให้เกิดการจ่ายสมทบแบบมีส่วนร่วมจากสามฝ่ายลูกจ้าง นายจ้างและรัฐบาล จึงเป็น “กองทุน” ของสาธารณชนโดยโครงสร้างเงินสมทบ และ ทำให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการออมที่เข้มแข็งอีกด้วย
กองทุนประกันสังคม เป็น เสาหลักของระบบสวัสดิการสำหรับผู้ใช้แรงงาน การบริหารกองทุนให้มีประสิทธิภาพ มีความคล่องตัว โปร่งใส มีธรรมาภิบาลสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน เสถียรภาพของผู้ประกอบการ และความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของรัฐ การปฏิรูปประกันสังคมสู่องค์กรของรัฐที่ไม่ใช่ราชการ เป็นองค์กรที่บริหารงานได้แบบแบงก์ชาติ กลต หรือ กบข ควรถูกนำมาศึกษาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
“การพัฒนากองทุนประกันสังคมให้เป็นองค์กรของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการอาจจำเป็นสำหรับอนาคตของสังคมไทย รัฐบาลต้องมอบความเป็นอิสระให้กับผู้เชี่ยวชาญทางด้านประกันสังคมในการบริหารกองทุนประกันสังคมและปกป้องจากการแทรกแซงของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง เพื่อให้เกิดความมั่นคงและเสถียรภาพต่อกองทุน และ เปิดให้มีส่วนร่วมจากผู้แทนผู้ประกันตนและนายจ้างที่มาจากการเลือกตั้งในการกำกับดูแลนโยบายได้อย่างเหมาะสม” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวในตอนท้าย
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี