นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนมกราคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8,862 ราย เพิ่มขึ้น 4,485 ราย (102%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (4,377 ราย) และทุนจดทะเบียนรวม 24,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,056 ล้านบาท (8.98%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (22,895 ล้านบาท) ในเดือนนี้มีนิติบุคคลที่จดทะเบียนทุนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย ทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท ประกอบกิจการ ผลิต จำหน่าย ส่งออก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 691 ราย ทุน 1,423 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 612 ราย ทุน 2,039 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 336 ราย ทุน 731 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.80%, 6.91% และ 3.79% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนมกราคม 2568 ตามลำดับ
นางอรมน กล่าวว่า การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 1,431 ราย ลดลง 4,634 ราย (-76.41%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (6,065 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 4,601 ล้านบาท ลดลง 30,501 ล้านบาท (-86.89%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (35,102 ล้านบาท) ในจำนวนนี้มีธุรกิจเลิกประกอบกิจการที่ทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย ทุนจดทะเบียน 1,568 ล้านบาท ประกอบกิจการนำเข้าและส่งออก ยารักษาโรค เภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ทุกชนิด สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 151 ราย ทุนเลิก 264 ล้านบาท 2) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 58 ราย ทุนเลิก 178 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 52 ราย ทุนเลิก 158 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10.55%, 4.05% และ 3.64% ของจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนมกราคม 2568 ตามลำดับ
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,973,692 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.54 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 929,377 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.32 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัด 732,081 ราย หรือ 78.77% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.30 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 195,813 ราย หรือ 21.07% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 1,483 ราย หรือ 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.59 ล้านล้านบาท สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 501,709 ราย ทุนจดทะเบียน 12.98 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 304,831 ราย ทุน 2.52 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 1.23 แสนราย ทุน 6.83 ล้านล้านบาท คิดเป็น 53.98%, 32.80% และ 13.22% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ
นางอรมน กล่าวว่า คาดการณ์ในไตรมาสแรกของปี 2568 จะมีธุรกิจจดทะเบียนจัดตั้งใหม่อยู่ที่ 27,000-28,000 ราย คิดเป็น 30% ของยอดจดทะเบียนทั้งปี และตลอดปี 2568 จะอยู่ที่ราว 90,000-95,000 ราย โดยอัตราส่วนการจัดตั้งธุรกิจต่อการเลิกธุรกิจในเดือนมกราคม 2568 พบว่าอยู่ที่ 6:1 ซึ่งถือว่ามีการจัดตั้งใหม่ที่เติบโตสูง ขณะที่การเลิกยังต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนเฉลี่ย ปี 2567 อยู่ที่ 4:1 และ 5 ปี ย้อนหลัง (2562-2566) อยู่ที่ 3:1 แสดงให้ถึงแนวโน้มที่ดีของภาคธุรกิจในปี 2568
การลงทุนของชาวต่างชาติ ประจำเดือนมกราคม 2568
การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ประจำเดือนมกราคม 2568 มีจำนวน 103 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 21 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 82 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 23,160 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ในเดือนมกราคม 2568 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากมกราคม 2567 จำนวน 49 ราย (91%) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 15,990 ล้านบาท (223%)
อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 7 อันดับแรก ได้แก่ 1. ญี่ปุ่น 21 ราย คิดเป็น 20% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 8,880 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและทำการเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเลระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมัน ธุรกิจบริการตรวจสอบและสอบเทียบอุปกรณ์การตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
2. สหรัฐอเมริกา 14 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 971 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการสนับสนุนข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต
3. จีน 10 ราย คิดเป็น 10% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,925 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
4. สิงคโปร์ 10 ราย คิดเป็น 10% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 2,178 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจ บริการติดตั้ง บำรุงรักษา ซ่อมแซม และการปรับ (Calibration) เกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องกล ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตภาพยนตร์ ละคร แอนิเมชัน และรายการบันเทิง และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
5. ฮ่องกง 9 ราย คิดเป็น 9% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,251 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
6. ไต้หวัน 8 ราย คิดเป็น 8% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 681 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งโครงสร้างเหล็กของอาคารคลังสินค้า ธุรกิจบริการออกแบบระบบสถาปัตยกรรมทางด้านดิจิทัล (Digital Architecture Design Service) และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
7. เยอรมนี 7 ราย คิดเป็น 7% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,048 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาเครื่องปั๊มความร้อน (Heat pump) ธุรกิจบริการทำการตลาดและส่งเสริมการขายสิ่งทอเทคนิค และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติประจำเดือนมกราคม 2568 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 29 ราย คิดเป็น 28% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 จำนวน 12 ราย (71%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 12,329 ล้านบาท คิดเป็น 53% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศ ญี่ปุ่น 11 ราย ลงทุน 5,574 ล้านบาท จีน 6 ราย ลงทุน 1,775 ล้านบาท สิงคโปร์ 3 ราย ลงทุน 1,610 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 9 ราย ลงทุน 3,370 ล้านบาท ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกแม่พิมพ์โลหะและจิ๊ก (JIG) สำหรับใช้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ธุรกิจบริการตรวจสอบและสอบเทียบอุปกรณ์การตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น
ธุรกิจความงามเติบโต
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้จัดทำข้อมูลธุรกิจเพื่อวิเคราะห์ธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจ และเฟ้นหาธุรกิจดาวเด่นที่น่าจับตามอง พบว่า ธุรกิจความงาม มีแนวโน้มการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่และมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องใน 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) ปัจจุบันมีนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจความงามอยู่ 6,621 ราย ทุนจดทะเบียน 190,160 ล้านบาท หากย้อนไปปี 2563 มีการจัดตั้งนิติบุคคลในธุรกิจนี้ 527 ราย/ปี และก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2566 มีการจัดตั้งใหม่จำนวน 1,161 และ ปี 2567 จัดตั้ง 1,135 ราย
ขณะที่วิเคราะห์เชิงลึก 3 ปี ย้อนหลัง (2564-2566) สามารถสร้างรายได้ที่สูงเฉลี่ยกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี ประกอบด้วย ปี 2564 รายได้ 304,724 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 354,823 ล้านบาท และปี 2566 รายได้ 363,145 ล้านบาท ด้านการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทยพบว่า มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 2,799 ล้านบาท โดยสัญชาติที่ลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ มาเลเซีย 201 ล้านบาท จีน 182 ล้านบาท และสิงคโปร์ 94 ล้านบาท
การเติบโตของธุรกิจความงามเป็นผลมาจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดค่านิยมทางสังคมที่ซึมซับมาจากโซเชียลมีเดียที่นำเสนอเรื่องราวการดูแลตนเอง ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่มีบุคลิกที่ดูดี จึงเป็นจุดโน้มน้าวให้ผู้ติดตามต้องการปรับภาพลักษณ์ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณของตัวเองให้ดูดีขึ้น และสังคมเปิดกว้างกับทำศัลยกรรมมากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีวิวัฒนาการมากขึ้น การนำนวัตกรรมด้านความงามมาให้บริการในราคาที่ถูกลง เจ็บน้อยลง แผลเล็กลง และการรักษาที่มีความปลอดภัยสูง จึงทำให้ลูกค้าไม่ได้จำกัดแค่เพียงผู้หญิงเพียงกลุ่มเดียว แต่ยังขยายลูกค้าไปยังกลุ่มผู้ชาย กลุ่ม Gen Z ที่เริ่มเข้าสู่สังคมการทำงาน ผู้สูงอายุที่ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการชะลอวัย และลูกค้าต่างชาติที่จะเข้ามาใช้บริการ จึงเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยประเภทธุรกิจความงามที่ต้องรีบคว้าไว้
ผลประชาพิจารณ์เรียกเอกสารยืนยันเจ้าบ้านให้ใช้สถานที่ทำธุรกิจ
ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2568 (16 วัน) ที่ผ่านมากรมฯ ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น (ประชาพิจารณ์) ร่างคำสั่งสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง กำหนดหลักเกณฑ์และเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด และจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมสถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าเจ้าของที่ตั้งยินยอมให้ใช้เป็นสำนักงานนิติบุคคล โดยปรากฏว่า มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยผลการแสดงความคิดเห็นมีดังนี้
1. ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการกำหนดให้ผู้ขอจดทะเบียนส่งหลักฐานเพื่อแสดงว่าเจ้าของที่ตั้งสำนักงานยินยอมให้ห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดใช้สถานที่เป็นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ประกอบคำขอจดทะเบียน (มีผู้แสดงความเห็นทั้งหมด 719 คน) * เห็นด้วย 98 ราย คิดเป็น 13.63% * ไม่เห็นด้วย 621 ราย คิดเป็น 86.37%
2. ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับคำสั่งฯ ฉบับนี้ (มีผู้แสดงความเห็นทั้งหมด 718 คน) * เห็นด้วย 94 ราย คิดเป็น 13.09% * ไม่เห็นด้วย 624 ราย คิดเป็น 86.91%
3. ข้อเสนอแนะอื่นๆ มีผู้แสดงความคิดเห็น 210 ราย
เหตุผลที่ไม่เห็นด้วย เช่น เป็นการเพิ่มภาระแก่ผู้ประกอบการที่สุจริต เพิ่มต้นทุน เกิดความล่าช้าในการจัดตั้งธุรกิจ สวนทางกับการเดินหน้าสู่รัฐบาลดิจิทัล และเห็นว่ามาตรการนี้ไม่ช่วยในการแก้ไขบัญชีม้านิติบุคคลแต่อย่างใด ฯลฯ
อย่างไรก็ดี ยังได้ให้ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจใน 3 ประเด็นว่า 1) ควรใช้เทคโนโลยีมาช่วยตรวจสอบสถานที่ตั้งนิติบุคคล ซึ่งจะมีความรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว 2) เชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานท้องถิ่นหรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับการเก็บภาษี 3) หากพบการกระทำผิดกฎหมายควรส่งเรื่องให้ปปช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย
“กรมฯ ขอขอบคุณทุกความเห็นจากภาคประชาชน และยินดีที่จะนำข้อเสนอแนะมาปรับใช้ในการป้องปรามปัญหาบัญชีม้านิติบุคคล ทั้งนี้ กรมฯ ยังมีอีกหลายมาตรการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนด้านการสกัดกั้นมิจฉาชีพไม่ให้หาประโยชน์จากการจดทะเบียนนิติบุคคล ได้แก่ ระบบตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคลซึ่งเปิดให้บริการแล้วผ่าน www.dbd.go.th โดยขอเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบที่อยู่ของตนเองได้ว่าถูกนำมาจดทะเบียนฯ โดยไม่ได้ยินยอมหรือไม่ มาตรการหมายเหตุในหนังสือรับรองว่า ‘นิติบุคคลไม่มีสำนักงานแห่งใหญ่ ณ ที่ตั้งตามที่จดทะเบียนไว้’ กรณีที่พบว่านิติบุคคลรายนั้นไม่มีที่ตั้งตามที่จดทะเบียนจริง และส่งเรื่องให้ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย ความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยปักหมุดนิติบุคคลคาดจะดำเนินการได้เร็วๆ นี้ ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามบัญชีม้านิติบุคคลเพื่อเอาผิดทางกฎหมายกับผู้กระทำผิด มาตรการชะลอการรับจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจกรณีเป็นบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชี HR-03 ของปปง. โดยต้องมาแสดงตัวต่อหน้านายทะเบียน กรมฯ คาดว่ามาตรการที่กล่าวมาจะช่วยป้องปรามบัญชีม้านิติบุคคลได้อย่างเป็นรูปธรรม และขอความร่วมมือประชาชนให้สังเกตและระมัดระวังตัวอย่างสูงสุดเพื่อไม่ให้ตัวเองตกไปเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพกลุ่มนี้”นางอรมนกล่าว
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี