เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ ในฐานะอดีตกรรมการการท่าอากาศยาน หรือ ทอท.กล่าวในรายการ “ถอนพิษ” ทางช่องยูทูบ “WATCHDOG CHANNEL” ในหัวข้อ “ยืดเวลาจ่าย - ลดค่าปรับ อุ้มคิงพาวเวอร์” ว่า คิงเพาเวอร์เคยเช่าพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต ฯลฯ เป็นเวลานาน อย่างสนามบินสุวรรณภูมิเปิดในปี 2549 คิงเพาเวอร์ก็มาทำสัญญาเช่า หลักๆ มี 3 สัญญา คือ 1.ร้านค้าปลอดอากร หรือดิวตี้ฟรี (Duty Free) สำหรับผู้ที่จะนำสินค้าออกไปใช้ในต่างประเทศ 2.ร้านขายสินค้าทั่วไป และ 3.ดิวดี้ฟรีรวมกับต่างจังหวัด โดยอาจตั้งเป็นบริษัทลูก
ตัวอย่างการเช่า เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ พื้นที่ใหญ่มาก คิงเพาเวอร์ขอประมูลพื้นที่ทั้งหมดเพียงเจ้าเดียว นำมาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งทำร้านค้าแบบดิวตี้ฟรี อีกส่วนหนึ่งทำอาคารเชิงพาณิชย์ ส่วนสนามบินอื่นๆ ก็จะเป็นเรื่องดิวตี้ฟรี โดยทำข้อตกลงว่า ในส่วนของดิวตี้ฟรีหรือร้านค้าปลอดอากร คิงเพาเวอร์จะจ่ายให้ร้อยละ 20 ของยอดขาย ซึ่งท่าอากาศยานจะรู้ผ่านระบบชำระเงินผ่านแคชเชียร์ว่ามีคนมาซื้อของในดิวตี้ฟรีมาก - น้อยเพียงใด ขณะที่ร้านค้าในอาคารพาณิชย์จะจ่ายให้ร้อยละ 15 ของยอดขาย
อย่างไรก็ตาม ในการประมูลมีการสัญญาว่าจะจ่ายค่าเช่าขั้นต่ำต่อปี ในส่วนของดิวตี้ฟรีจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ร้านค้าในอาคารพาณิชย์จะอยู่ที่ราว 5.8 พันล้านบาท กล่าวคือ ไม่ว่ายอดขายจะเป็นอย่างไร ก็จะต้องจ่ายค่าเช่าขั้นต่ำต่อปีในอัตรานี้ แต่หากปีใดขายได้มากกว่านั้นก็จะจ่ายในอัตราร้อยละ 20 และ 15 ของยอดขายตามที่ตกลงกันข้างต้น ส่วนสนามบินในภูมิภาค เช่น ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ คิงเพาเวอร์จะจ่ายขั้นต่ำให้ 2,231 ล้านบาทต่อปี สำหรับดิวตี้ฟรี โดยสรุปแล้วจะต้องจ่าย 2.35 หมื่นล้านบาทต่อปีให้กับ ทอท.
โดยคิงเพาเวอร์ทำสัญญาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวมาก (ได้สิทธิสัญญาตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.2563) แต่หลังจากนั้นเมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะช่วงปลายปี 2563 ตามด้วยปี 2564 - 2565 คิงเพาเวอร์บอกว่าค้าขายไม่ดีเนื่องจากจำนวนผู้โดยสารน้อย ขอลดค่าเช่าที่ต้องจ่าย ขอลดไปประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท แต่อีกมุมหนึ่ง ในการยื่นประมูลเพื่อที่จะให้ชนะคู่แข่งรายอื่น ข้อเสนอที่ออกมาต้องผ่านการประเมินความเสี่ยงต่างๆ แล้ว
ซึ่งการลดค่าเช่าลงไปแล้ว 4.2 หมื่นล้านบาท ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เชื่อว่าคนไทยเข้าใจ ตนก็ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไร แต่เมื่อสถานการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว ผู้โดยสารเริ่มกลับมาแม้จะยังไม่มากนัก คิงเพาเวอร์ได้ขอเจรจาลดค่าเช่าขั้นต่ำลง โดยใช้สูตรว่า “นำค่าเช่าขั้นต่ำไปหารกับจำนวนผู้โดยสารในปี 2562 ได้ผลลัพธ์เท่าไรแล้วนำไปคูณกับจำนวนผู้โดยสารหลังปี 2565” แต่ตนก็ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้ว ทอท.ยอมหรือไม่
นอกจากนั้น คิงเพาเวอร์ยังอ้างว่าบริษัทขาดทุนติดลบ จึงขอยึดการจ่ายค่าเช่าขั้นต่ำออกไปอีก 18 เดือน หรือ 1 ปี 6 เดือน แต่ในสัญญาระบุว่าหากไม่จ่ายจะเสียค่าปรับร้อยละ 18 และการกำหนดค่าปรับอัตรานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชนะการประมูลมาหรือไม่ อีกทั้งยังจะมีการขอให้คิดอัตราค่าปรับใหม่เนื่องจากแพงกว่าอัตราดอกเบี้ย ซึ่งในเรื่องนี้ตนทราบมาว่า อนุกรรมการพิจารณามีมติไปแล้วว่ายอม อนึ่ง คิงเพาเวอร์ยังเคยเจรจาขอลดพื้นที่เช่า แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามให้ผู้อื่นมาเช่า
อย่างสมัยที่ตนเป็นกรรมการช่วงหลังปี 2550 เคยตั้งคำถามว่าก่อนที่ตนจะมาเป็นกรรมการทำไมท่าอากาศยานไปให้เจ้าเดียว เพราะหากเกิดอะไรขึ้นคือดิ้นไม่ออก ไม่มีการกระจายความเสี่ยงหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นไม่ว่ากับคิงเพาเวอร์หรือผู้ประกอบการเจ้าไหนก็ตาม เมื่อมีปัญหาท่ากาอากาศยานจึงเดือดร้อนไปด้วย แต่หากมีผู้ประกอบการสัก 2 - 3 เจ้า ก็ยังพอจะบรรเทาปัญหา
“เช่น ดิวดี้ฟรี ก็คือร้านค้าปลอดอากร คุณอาจจะมีสัก 3 ร้านก็ได้ ไปดูรายงานการประชุมผมพูดไว้ และ 3 ร้านนี้ให้แข่งกันก็ได้ วางกันอยู่คนละมุมของพื้นที่ก็ได้ หรือร้านหนึ่งขายเหล้า - บุหรี่ อีกร้านขายเครื่องสำอาง อีกร้านขายอะไรก็แล้วแต่ ก็ยังดีกว่าให้เจ้าเดียวผูกขาดหมดทุกสินค้าและตลอดพื้นที่เลยไหม? แล้วถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นเรายังพอปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรได้ดีขึ้น” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ตนเห็นใจผู้บริหาร ทอท. ชุดปัจจุบัน จากที่เห็นออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเดือดร้อนเหมือนกันหากคิงเพาเวอร์ไปไม่ไหว แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เห็นผลของการนำไข่ไปใส่ไว้ในตะกร้าเพียงใบเดียว พอเกิดปัญหาจึงเกิดกันไปหมด ส่วนคำถามที่ว่า สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เคยพยายามจะทำให้เกิดการแข่งขัน ด้วยการที่ยังให้คิงเพาเวอร์ทำร้านค้าดิวตี้ฟรีภายในสนามบินต่อไป แต่จะอนุญาตให้ผู้ประกอบการรายอื่นทำร้านดิวตี้ฟรีภายนอก โดยให้ผู้ซื้อรับสินค้าที่ช่องผู้โดยสารขาออก และมีผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้สนใจ เหตุใดสุดท้ายจึงไม่เกิดขึ้น
เรื่องดังกล่าวตนก็เคยวิพากษ์วิจารณ์ไปว่า คิงเพาเวอร์ไปได้ผูกขาดสนามบิน เวลาคนจะเดินทางขาออกไปก็ต้องซื้อของจากสนามบิน ก็มีการโอนการผูกขาดไปยังร้านดิวตี้ฟรีที่อยู่ในเมืองด้วย เช่น ที่ซอยรางน้ำ หากซื้อของที่นั่นแล้วไปรับของที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นการขยายหน้าร้าน ถามว่าใครจะยอมให้มีผู้ประกอบการรายอื่นมาตั้งร้านค้าดิวตี้ฟรี ในลักษณะซื้อจากร้านภายนอกแล้วไปรับของที่สนามบิน และหากจำไม่ผิด สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีมติให้ทำเคาน์เตอร์กลาง ไม่ว่าจะซื้อสินค้าจากร้านดิวตี้ฟรีของเจ้าใดก็ตามก็ให้มารับสินค้าที่นี่ แต่ก็ได้ยินมาว่าจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สำเร็จ ยังมีแต่เคาน์เตอร์ของคิงเพาเวอร์เท่านั้น
“ถ้าจะลดค่าปรับจาก 18% เหลือประมาณ 9% ต้องต่อรองว่าไม่ผูกขาด พื้นที่ในสุวรรณภูมิคุณต้องเอาพื้นที่น้อยลงเพราะคุณบอกจ่ายไม่ไหว แล้วห้ามกันว่าให้ปล่อยว่างร้าง แต่ว่าเอาไปใช้ประโยชน์เพื่อแข่งขัน และขณะเดียวกันเคาน์เตอร์กลางก็ต้องเกิดขึ้น ที่ทำให้เกิดการแข่งขัน คนที่ซื้อในเมืองแล้วไปรับของที่เคาน์เตอร์กลางได้” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ระบุ
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ก็ให้สัมภาษณ์ดีอยู่ โดยกล่าวว่าหากจะยอมแต่ก็มีเพดานว่าไม่เกิน หนังสือค้ำประกันโดยธนาคาร หรือแบงก์กันตี (Bank Guarantee) อย่างน้อยก็ยังมีป้องกันไว้ส่วนหนึ่ง
ชมคลิปด้านล่าง