นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนมกราคม 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ตามความต้องการของประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่เข้าสู่วัฏจักรการเปลี่ยนรอบสินค้าใหม่ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความผันผวนของค่าเงินบาท อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า แต่ภาพรวมดัชนีราคาส่งออกและดัชนีราคานำเข้าของไทยปัจจุบันยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ดัชนีราคาส่งออก เดือนมกราคม 2568 เท่ากับ 110.9 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2567 สูงขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากความต้องการของประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยทิศทางราคาในหลายกลุ่มสินค้ายังคงปรับสูงขึ้น ตามคำสั่งซื้อที่มีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกที่ปรับสูงขึ้น ประกอบด้วยหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง สูงขึ้น1.4% ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นไปตามทิศทางความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันตลาดโลก หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้น 1.3%ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ตามการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ช่วยสนับสนุนความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการประมวลผล และจัดเก็บข้อมูล สำหรับทองคำ ราคายังทรงตัวสูง ตามการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปี 2568 เครื่องใช้ไฟฟ้า ตามการขยายตัวของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เพื่อใช้งานร่วมกับระบบ Smart Home และรถยนต์ ตามยอดขายรถยนต์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นในตลาดส่งออกสำคัญของไทย ขณะที่หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้น 0.9% ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอาหารสุนัขและแมว เนื่องจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงประเภทพรีเมียมในการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ตามความต้องการอาหารสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวลดลง คือ หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลง 1.9% เป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 37 เดือน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานราคาของเดือนมกราคม 2567อยู่ในระดับสูง รวมถึงราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มปรับลดลง ได้แก่ ข้าว เนื่องจากอินเดียยกเลิกมาตรการจำกัดการส่งออกข้าว ประกอบกับเงินรูปีอ่อนค่าทำให้ผู้ประกอบการอินเดียส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น และส่งผลให้อุปทานข้าวโลกขยายตัว และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ตามความต้องการที่ลดลง ประกอบกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจาก สปป.ลาว และกัมพูชา
ส่วนดัชนีราคานำเข้า เดือนมกราคม 2568 เท่ากับ 114.4 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2567 สูงขึ้น 3.6% (YoY) ปัจจัยหลักเป็นผลจากฐานราคาเดือนมกราคม 2567 ยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับความต้องการสินค้านำเข้าขยายตัวในหลายหมวดสินค้า เพื่อรองรับการผลิต การลงทุนและการบริโภคของประเทศ ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วยหมวดสินค้าอุปโภค-บริโภค สูงขึ้น 7.7% ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เครื่องประดับอัญมณี และผัก ผลไม้ และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ เพื่อตอบสนองความต้องการในการอุปโภค-บริโภคของประเทศ หมวดสินค้าทุน สูงขึ้น 3.9% ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ แลเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ตามความต้องการสินค้าเพื่อใช้ในการลงทุนเพิ่มขึ้น
หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้น 3.7% ได้แก่ ทองคำ ตามความต้องการสำรองทองคำเพื่อความปลอดภัยของหลายประเทศทั่วโลก
อุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และเคมีภัณฑ์ ตามความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมถึงความต้องการเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้า และหมวดสินค้าเชื้อเพลิง กลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ 2.6% หลังจากช่วงก่อนหน้าหดตัวต่อเนื่อง 5 เดือนติดต่อกัน ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม ตามกำลังการผลิตที่ลดลง ขณะที่ความต้องการในฝั่งผู้ซื้อจากเอเชียเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศหนาวเย็น และน้ำมันดิบตามความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันโลกตึงตัว
ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวลดลง คือ หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ลดลง 1.4% ได้แก่ รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก และรถยนต์นั่ง ตามความต้องการที่ชะลอลง เนื่องจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ประกอบกับหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงพฤติกรรมการใช้รถยนต์ในประเทศไทยยาวนานขึ้น
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า เดือนกุมภาพันธ์ 2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน แม้จะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1.ฐานราคาปี 2567 ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2568 2.ความต้องการสินค้าประเภทอาหารยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3.สินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับอานิสงส์จากการเปลี่ยนรอบการใช้งาน และการขยายตัวของเทคโนโลยี AI 4.ราคาพลังงานและวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น และ 5.การเร่งนำเข้าสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ 1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าอาจช้ากว่าที่คาด 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3.ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ 4.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงน้อยกว่าปี 2567 อาจส่งผลให้ผลผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น จนนำมาสู่ภาวะอุปทานส่วนเกิน 5.การแข่งขันทางด้านราคามีแนวโน้มสูงขึ้น และ 6.ความผันผวนของค่าเงินบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี