นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เปิดเผยว่า เดือนมกราคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 103 ราย เพิ่มขึ้น 91% โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 21 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 82 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 23,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 223% และมีการจ้างงานคนไทย 227 คน เพิ่มขึ้น 32%
ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 7 อันดับแรกของเดือนมกราคม 2568 ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น 21 ราย คิดเป็น 20% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย
เงินลงทุน 8,880 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและทำการเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเลระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมันธุรกิจบริการตรวจสอบและสอบเทียบอุปกรณ์การตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ แม่พิมพ์ ไส้กรองน้ำมัน ชิ้นส่วนนาฬิกาข้อมือ
2.สหรัฐฯ 14 ราย คิดเป็น 14%ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 971 ล้านบาทในธุรกิจ อาทิ ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ได้แก่ อุปกรณ์โทรคมนาคม เครื่องแต่งกาย ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับการดูแลและรักษาความปลอดภัยทางระบบคอมพิวเตอร์ ธุรกิจบริการสนับสนุนข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3.จีน 10 ราย คิดเป็น 10% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 3,925 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ ธุรกิจบริการอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
4.สิงคโปร์ 10 ราย คิดเป็น 10% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 2,178 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ ธุรกิจบริการติดตั้ง บำรุงรักษา ซ่อมแซม และการปรับ (Calibration) เกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องกล ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตภาพยนตร์ ละคร แอนิเมชั่น และรายการบันเทิง
5.ฮ่องกง 9 ราย คิดเป็น 9% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,251 ล้านบาทในธุรกิจ อาทิ ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การติดตั้งและบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ การให้คำปรึกษาทางเทคนิคในการแก้ไขปัญหาเครื่องจักรระหว่างการใช้งาน เป็นต้น
6.ไต้หวัน 8 ราย คิดเป็น 8% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 681 ล้านบาทในธุรกิจ อาทิ ธุรกิจบริการออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งโครงสร้างเหล็กของอาคารคลังสินค้า
7.เยอรมนี 7 ราย คิดเป็น 7% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,048 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาเครื่องปั๊ม
ความร้อน (Heat pump) ธุรกิจบริการทำการตลาดและส่งเสริมการขายสิ่งทอเทคนิค ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ เครื่องทำน้ำอุ่น Fatty Alcohol Ethoxylate
ทั้งนี้ ในการเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยและการประเมินความเสี่ยงในโรงงานอุตสาหกรรม องค์ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการติดตั้งทางวิศวกรรมเกี่ยวกับระบบบำบัดและรีไซเคิลน้ำเสีย องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการท่าเทียบเรือและความปลอดภัยการขนถ่ายสินค้า องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของระบบเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านเนตเวิร์ก เป็นต้น
สำหรับการลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ของนักลงทุนต่างชาติ เดือนมกราคม 2568 มีจำนวน 29 ราย คิดเป็น 28% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้น 71% มูลค่าการลงทุน 12,329 ล้านบาท คิดเป็น 53% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 11 ราย ลงทุน 5,574 ล้านบาท จีน 6 ราย ลงทุน 1,775 ล้านบาท สิงคโปร์ 3 ราย ลงทุน 1,610 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 9 ราย ลงทุน 3,370 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกแม่พิมพ์โลหะและจิ๊ก (JIG) สำหรับใช้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ธุรกิจบริการตรวจสอบและสอบเทียบอุปกรณ์การตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น แม่พิมพ์และชิ้นส่วนแม่พิมพ์ ชิ้นส่วนเหล็กขึ้นรูป อะไหล่ และส่วนประกอบรถยนต์ เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี