คาดยีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทยอาจปรับลดลงต่อในช่วงที่เหลือของปี 2568 ตามทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ซึ่งอาจทำให้ กนง. มีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก แต่ยังคงต้องติดตามความผันผวนซึ่งอาจเกิดขึ้นในระหว่างปีตามปริมาณการออกพันธบัตรเพื่อกู้เงินของภาครัฐ
นายกฏษฏี แก้วหิรัฐ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกร วิเคราะห์ว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศส่วนใหญ่ปรับลดลงตามวัฏจักรดอกเบี้ยนโยบายขาลงและความกังวลต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (ยีลด์พันธบัตรรัฐบาล) อายุ 10 ปีส่วนใหญ่ปรับลดลง หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมีมาตรการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้ากับหลายประเทศและหลายประเทศก็มีมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งส่งผลทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และกระตุ้นให้ตลาดปรับมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ โดยประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งเป็นอย่างน้อยในช่วงที่เหลือของปีนี้
อย่างไรก็ดี ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลของบางประเทศมีการปรับตัวสูงขึ้นสวนทางตลาดอื่น ๆ ตามปัจจัยเฉพาะ โดยยีลด์พันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีปรับเพิ่มสูงขึ้นจากแนวโน้มการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมซึ่งส่งผลทำให้มีความกังวลว่า รัฐบาลเยอรมนีมีแนวโน้มออกพันธบัตรเพื่อกู้เงินมากขึ้น ในขณะที่ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นตามวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นซึ่งตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้
สำหรับไทย ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลงตามทืศทางตลาดพันธบัตรต่างประเทศ โดยเฉพาะยีลด์พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยของ กนง. ในรอบการประชุมวันที่ 26 ก.พ. 2568 ซึ่งมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาที่ระดับ 2.00% รวมถึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 จาก 2.9% เป็น 2.5% โดยยีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีปรับลดลงไปแตะจุดต่ำสุดของปีนี้ที่ระดับ 2.14% (ณ วันที่ 12 มี.ค. 2568) ลดลงประมาณ 16 bps. จากระดับสิ้นปี 2567ส่วนยีลด์ตราสารหนี้เอกชนเริ่มปรับตัวลงชัดเจน หลังผลการประชุมกนง. รอบ 26 ก.พ. 2568 เช่นกัน โดยยีลด์ตราสารหนี้ที่มีอันดับเครดิต BBB อายุ 3 ปี ปรับตัวลงไปที่ 4.68% (ณ วันที่ 11 มี.ค. 2568) ลดลงประมาณ 15 bps. จากสิ้นปี 2567 (รูปที่ 2) สะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินผ่านการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่ลดลงมาบางส่วน แม้ว่าส่วนต่างผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนกับพันธบัตรรัฐบาล (Credit Spread) จะยังคงทรงตัวอยู่ที่ 286-287 bps. ใกล้เคียงกับช่วงก่อนการประชุมกนง.
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี