17 มี.ค. 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขียนบทความ “แก้ปัญหาหนี้ผิดวิธี” เผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” เนื้อหาดังนี้
ข่าวเกี่ยวกับอดีตนายกทักษิณ เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2568
“นายทักษิณกล่าวว่า วันนี้ประชาชนมีหนี้จำนวนมาก ซึ่งจะต้องยกหนี้ออกจากเครดิตบูโรให้ทั้งหมด โดยไม่ต้องชำระ เริ่มต้นชีวิตใหม่
แต่รัฐแก้ปัญหาให้ โดยไม่ใช้เงินรัฐสักบาท..
จริงๆ พรรคเพื่อไทยจะออกเหรียญดิจิทัล แจกให้ประชาชน ซึ่งเหรียญจะอยู่ในระบบ แล้วรัฐบาลจะเติมเงินสนับสนุน
แต่แบงก์ชาติบอกว่าใช้ไม่ได้ ต้องมีเงินทุนมาหนุนหลัง จึงยุติ เพราะกระเป๋าเงินดิจิทัลหลายคนมองไม่ออก
นายทักษิณย้ำว่า ถ้าทำได้ (เงินดิจิทัล) จะช่วยให้ฟื้นเศรษฐกิจ เพราะปัจจุบันนี้ถ้าเทียบเป็นบ้าน ก็ต้องยอมรับว่า ฐานราก คานคอดิน มันพัง
ส่วนเศรษฐกิจตกต่ำยุค "ต้มยำกุ้ง" เป็นแค่หลังคาพัง แต่เราก็ต้องซ่อม เพราะไม่สามารถสร้างหลังใหม่ได้ เพียงต้องใช้เทคโนโลยีมาซ่อมให้ทัน”
ผมตั้งข้อสังเกตว่า แนวคิดที่จะออกเหรียญดิจิทัลแจกประชาชน เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้น
ถ้ามองผิวเผิน จะดูเหมือนสวยหรู
จะดูคล้ายเป็นการใช้เทคโนโลยีเนรมิตเงิน ออกมาจากอากาศธาตุ
จะเป็นมาตรการที่น่าตื่นเต้น ที่จะแก้ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างหมดจด
ประชาชนก็จะเอาเหรียญดิจิทัลที่ได้รับแจก ไปชำระหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์ และล้างประวัติที่เครดิตบูโร เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่
แนวคิดนี้เข้าใจไปว่า รัฐสามารถเอื้อมมือเข้าไปสนับสนุนแก้ปัญหาได้ โดยไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท
แต่ถ้ามองอย่างเข้าใจระบบการเงิน จะต้องมองให้ลึกซึ้งกว่าแค่ผิวเผิน
การแจกเหรียญดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนนำไปชำระหนี้นั้น
ถ้าเป็นเหรียญที่ออกโดยคณะรัฐมนตรี ในฐานะส่วนตัว แบบนี้ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท
แต่คาดเดาได้ว่า ธนาคารพาณิชย์จะไม่เชื่อเครดิตในเหรียญดังกล่าว ยกเว้นเหรียญที่ออกโดยครอบครัวของนายกรัฐมนตรีเอง ซึ่งเป็นผู้มีฐานะ
แต่จะให้ความเชื่อถือได้ ก็ต่อเมื่อมีกลไกตามกฏหมาย
ที่ธนาคารพาณิชย์จะสามารถบังคับ ให้คณะรัฐมนตรีผู้ออกเหรียญ จะต้องควักกระเป๋าชำระเงินตามเหรียญเหล่านั้น เมื่อครบกำหนด
ส่วนกรณีเป็นการแจกเหรียญดิจิทัล ที่ออกโดยรัฐบาลไทย เพื่อให้ประชาชนนำไปชำระหนี้นั้น
ขอเรียนว่า มีสภาพไม่ต่างจากการเพิ่มหนี้สาธารณะ
อธิบายแบบง่ายๆ คือ โอนหนี้ธนาคารพาณิชย์ของประชาชน ที่มีปัญหาไม่สามารถคืนหนี้
มาเป็นหนี้ของประชาชนผู้เสียภาษีทั้งประเทศ
ผมจึงจะขอแนะนำ อย่ามองนโยบายแต่เพียงผิวเผิน จะต้องมองให้ทะลุถึงแก่น
เมื่อทำเช่นนี้ จะเห็นได้ง่ายกว่า ข้อเสนอแนวคิดนี้ เพียงแต่ย้ายปัญหา จากที่แห่งหนึ่ง เอาไปวางไว้อีกแห่งหนึ่ง
เพียงแต่ย้ายปัญหา จากประชาชนกลุ่มเล็ก ที่เป็น NPL ไปเป็นภาระของคนทั้งประเทศ ยาวไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แนวคิดดังกล่าว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงในระหว่างขึ้นเวทีพบปะมวลชนเสื้อแดงในงานเรื่องเล่า "ประสบการณ์ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของมวลชน" ที่หอประชุมอนุสรณ์ 100 ปี มหาวิทยาลัยพิษณุโลก ต.สมอแข อ.เมือง จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2568 โดยนายทักษิณ กล่าวในตอนหนึ่งว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตนคิดกับนายกฯอิ๊งค์ ดังๆ ว่าทำอย่างไรจะให้หนี้สินคนไทยหมด เพราะวันนี้หนี้ครัวเรือนเยอะเหลือเกิน
“เราจึงคิดกันว่าจะซื้อหนี้ทั้งหมด ซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบธนาคารดีหรือไม่ แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน แล้วให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ยกจากเครดิตบูโรให้หมด ให้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องทำมาหากินใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท เพราะตนสามารถให้เอกชนลงทุน วันนี้รัฐเป็นหนี้เยอะ เราเข้ามาหนี้ก็บานตะไทแล้ว วันนี้จะขยับอะไรทีก็เป็นหนี้ไปหมดเราต้องสร้างหนี้ให้น้อยที่สุด และสร้างโอกาสให้คนไทยมากที่สุด พูดง่ายทำยากแต่ต้องทำ” นายทักษิณ กล่าว
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1228839115280016&set=a.334403454723591
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/politic/870130กลับมาไม่เสียข้าวสุก! ‘ทักษิณ’เป่ากระหม่อม‘เสื้อแดง’ ขุดถึงปู่ขาประจำถึงตาม‘เห่าหอนไม่เลิก’
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี