‘นายกสมาคมนักประดิษฐ์ฯ ’ หนุนแนวคิด ‘ทักษิณ’ ซื้อหนี้ประชาชนมาบริหาร พร้อมร้องขอให้ใช้กับธุรกิจ SMEs ชี้รับภาระแบบ ‘เตี้ยอุ้มค่อม’ มาตั้งแต่ยุคโควิด – 19 ระบาด หวังช่วยให้ SMEs เดินหน้าและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์พร้อมกับนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป
นายภณวัชร์นันท์ ไกรมาตย์ นายกสมาคมนักประดิษฐ์และนวัตกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวบนเวทีปราศรัยพบปะมวลชนคนเสื้อแดงภาคเหนือตอนล่างที่จังหวัดพิษณุโลก โดยระบุว่า จะมีการซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบธนาคาร เพื่อให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ว่า ตนเห็นด้วยกับแนวคิดการซื้อหนี้จากประชาชน ของอดีต นายทักษิณ ถือว่าช่วย SME เพราะในช่วงที่มีวิกฤตจากการระบาดของไวรัสโควิด – 19 ตั้งแต่ช่วงปี 2562 – 2566 นั้น ภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต้องแบกรับภาระต่างๆ ในฐานะ ‘เตี้ยอุ้มค่อม’ หมายความว่า นอกจากจะต้องประคองธุรกิจให้รอดแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนธุรกิจ SMEs ก็คือลูกน้อง ในแต่ละโรงงานก็ต้องดูแล จนกระทั่งต่างฝ่ายต่างล้มไปด้วยกัน ซึ่งข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่า โรงงานยังเสี่ยงจะปิดตัว ข้อมูลจากการวิจัยกสิกรไทย ธุรกิจปิดตัวลงประมาณ 2.3 หมื่นราย และต่อเนื่องในปี 2568 โดยเฉพาะ SMEs จากหลายปัจจัยกดดัน ทั้งเรื่องภาวะเศรษฐกิจ/กำลังซื้อของผู้บริโภคยังเปราะบางจากค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ผลของสงครามการค้ารอบใหม่ที่อาจส่งผลต่อต้นทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ รวมถึงแรงกดดันจากสินค้านำเข้าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการซ้ำเติมจากวิกฤตเดิมที่มีมา 4 – 5 ปี ด้วยกัน ดังนั้น การที่นายทักษิณ เสนอแนวทางในลักษณะนี้ ถือเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในสภาวะเศรษฐกิจที่ประชาชนยังคงมีความระแวดระวังในการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้ง หากจะนำมาใช้ดำเนินการกับธุรกิจ SME จะเป็นการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ที่แบกภาระรอบด้านในช่วงที่ผ่านมาด้วย
“ความสำคัญของ SMEs สะท้อนอยู่ในตลอดวงจรธุรกิจ ตั้งแต่เริ่มต้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ออกแบบและวิจัยสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค รวมไปถึงการต่อยอดธุรกิจไปสู่ระดับสากล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนและพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมของประเทศ นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของ SME ในหลากหลายกลุ่มสินค้าและบริการ ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภาพรวมอีกด้วย แต่ในช่วงวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด – 19 ซึ่งมาตรการสำคัญที่จะต้องปกป้องชีวิตประชาชนคือการล็อคดาวน์ไม่ให้ประชาชนพบปะกันหรือเคลื่อนย้ายออกจากเคหสถาน ทำให้ธุรกิจ SMEs ต้องประสบกับปัญหารายจ่ายที่ต้องเคลื่อนไหวในทุกวัน ไหนจะต้องรักษาธุรกิจและชีวิตของลูกน้องไปพร้อมๆกัน ทั้งนี้ ผมเห็นใจธุรกิจ SMEs ที่ต้องมาล้มหายไปกับการระบาดของไวรัสโควิด – 19 ขณะเดียวกัน ธุรกิจ SMEs ที่รอดตายจากการระบาดของไวรัสโควิด – 19 ก็ยังเผชิญกับปัญหาสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาและเซื่องซึมอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง SMEs แต่ละแห่งก็พยายามขวนขวายหามาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือ และได้ให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยดีมาโดยตลอด ดังนั้น เมื่อนายทักษิณ ปราศรัยว่า จะมีการซื้อหนี้จากประชาชน เพื่อปรับเปลี่ยนให้ประชาชน มาผ่อนจ่ายหนี้กับรัฐนั้น ถือเป็นแนวคิดที่มาถูกทาง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ธนาคารแต่ละแห่งมีมาตรฐานในการชำระหนี้ไม่เหมือนกัน บางธนาคารก็ต้องให้ลูกหนี้รับเงื่อนไขหยุมหยิมต่างๆ กว่าจะยอมปลดสถานะความเป็นหนี้ ซึ่งถือเป็นความยากลำบากในการแก้ไขปัญหาหนี้ของประชาชน อีกทั้ง ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา SMEs ไทย ข้อมูลจากการวิจัยกสิกรไทย ธุรกิจปิดตัวลงประมาณ 2.3 หมื่นราย ยังก็มีภาระที่ต้องแบกรับทั้งดอกเบี้ย ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จาก สถานการณ์โควิด 19 เงินที่จ่าย ดูแลลูกจ้าง ในด้านธุรกิจและการดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆ จนต้องยอมเป็นหนี้ด้วยวงเงินที่สูงมาก และต้องตกอยู่ในวงจรหนี้อย่างยากที่จะหลุดพ้นได้ ซึ่งแนวคิดของนายทักษิณ ในครั้งนี้ ตนขอชื่นชมว่าเป็นการดึงหนี้เพื่อให้ประชาชนสามารถผ่อนชำระได้ตามศักยภาพเป็นมาตรฐานเดียวกัน ในส่วนของ SMEs ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และจะได้มีแนวคิดสร้างผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศเพื่อนำเงินกลับมาชำระหนี้สินตามมาตรการที่นายทักษิณ วางไว้ต่อไป” นายภณวัชร์นันท์กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี