นางสาวเด่นดาว โกมลเมศ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน หรือ AMATA เปิดเผยว่า ปี 2568 เป็นปีที่มีความท้าท้าย จากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในประเทศที่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า ปัญหาค่าครองชีพ และหนี้ครัวเรือน และปัจจัยภายนอกประเทศ อย่างภาวะเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ ทำให้เกิดการขยายฐานการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ไปยังประเทศที่มีศักยภาพ ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และมีความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐาน
กลุ่มอมตะจึงเตรียมความพร้อมในการเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการด้านสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนโดยเตรียมงบลงทุนในไทยไว้ไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่และพัฒนาที่ดินรองรับการลงทุนจากภาคอุตสาหกรรม โดยพื้นที่นิคมฯในแต่ละแห่งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางด้านการค้าที่สำคัญ
ปัจจุบันกลุ่มอมตะมีสถานการเงินที่แข็งแกร่ง โดยสิ้นปี 2567 มีกระแสเงินสดประมาณ 5 พันล้านบาท และยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนอยู่จำนวนมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท สำหรับในปี 2568 ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินทั้งในไทยและต่างประเทศ 3,500 ไร่ เติบโตจากปีก่อนมากกว่า 15% โดยเฉพาะเวียดนามที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลี และยุโรป เป็นต้น
สำหรับแผนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี,นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง และนิคมอุตสาหกรรม ไทย-จีนนั้นทางกลุ่มอมตะจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางด้านพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามหลักปรัชญา “ALL WIN” ถือเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
นายโอซามู ซูโด รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน กล่าวว่า กลุ่มอมตะให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ที่สร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นแผนการการดำเนินงานในปี 2568 จึงได้เตรียมความพร้อมในด้านการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและนำนวัตกรรมพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ กลุ่มเป้าหมายสำคัญ ได้แก่ จีน และญี่ปุ่น รวมถึงกลุ่มประเทศแถบยุโรป โดยเฉพาะจีนยังมีทิศทางของการย้ายฐานการลงทุนต่อเนื่อง เป็นผลมาจากมาตรการการขึ้นภาษีของ สหรัฐฯ ทำให้ผู้ประกอบการจีนมีการวางแผนย้ายฐานการผลิต เพื่อการบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
“ด้วยระบบ Supply Chain และสาธารณูปโภคที่ทันสมัย รวมถึงความมั่นคงด้านพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสิทธิประโยชน์จากนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้กลุ่มอมตะได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยเฉพาะใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์
ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วน 2. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) 3.อุตสาหกรรมดิจิทัล Data Center และ Cloud Region 4. อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และ 5. อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน” นายซูโดกล่าว
นายวรงค์ ตังประพฤทธิ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะซิตี้ ลาว กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม อมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ ในสปป.ลาว ปัจจุบันมีทั้งหมด 20,000 ไร่ เป็นที่ดินที่พร้อมพัฒนา 5,600 ไร่นิคมฯดังกล่าวถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งใหม่ของสปป.ลาวที่กลุ่มอมตะได้นำนวัตกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาพัฒนาและจะผลักดันให้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเป็นประตูการค้าสู่ประเทศจีนตอนใต้โดยอาศัยเส้นทางรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน เนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวอยู่ห่างจากชายแดนจีนเพียง 40 กิโลเมตร
ล่าสุดนิคมอุตสาหกรรม อมตะ สมาร์ทแอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ ในสปป.ลาวได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนสูงสุดในภูมิภาค และสิทธิการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุน โดยการได้รับยกเว้นภาษี 30 ปี สำหรับผู้ลงทุนใน 7 ปีแรกที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร เพื่อสนับสนุนการใช้วัตถุดิบภายในให้มีมูลค่ามากขึ้น,อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์พลังงานทดแทน,อุตสาหกรรมผลิตยานยนต์และอาหาร,อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า แนวทางการพัฒนาของกลุ่มอมตะในลาวนำไปสู่การพัฒนาเป็นเมืองที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาวที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของ สปป.ลาว และภูมิภาคในอนาคต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี