นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาทางด้านการเกษตรของประเทศ ด้วยตระหนักดีว่าประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง สามารถต่อยอดจากฐานความหลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรของไทย โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิต เริ่มตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การขนส่ง การแปรรูปและการสกัดสารสำคัญ รวมถึงการพัฒนาด้านการขายและการตลาด
ทั้งนี้ ส.อ.ท.จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนา "โครงการนวัตกรรมต้นแบบ Smart Agriculture Industry (SAI) เพื่อการเรียนรู้และบ่มเพาะแนวทางเกษตรอัจฉริยะ" ล่าสุด ส.อ.ท.จึงได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือโครงการดังกล่าวกับมหาวิทยาลัยมหิดล
"การดำเนินโครงการนี้ ส.อ.ท. จะบริหารจัดการพื้นที่ Sandbox ภายในอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา สำหรับการทดสอบและสาธิตการเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร ผ่านการเชื่อมโยงความต้องการของผู้บริโภค และอุตสาหกรรมแปรรูปมูลค่าสูง รวมถึงการบูรณาการเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ เพื่อเป็นต้นแบบรองรับการขยายผลและถ่ายทอดองค์ความรู้ภายใต้แนวคิด 1 จังหวัด 1 อุตสาหกรรม (One Province One Industry) ไปยังเกษตรกรในภูมิภาคทั่วประเทศ ครอบคลุม 5 ภาค 18 กลุ่มจังหวัด 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างกลไกการทำงานระหว่างเกษตรกร ภาคอุตสาหกรรม รัฐ สถาบันการวิจัย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียงทั้งหมดในห่วงโซ่การผลิตที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูง ตามแนวคิดเศรษฐกิจแบบ BCG (Bio-Circular-Green) และเกิดโมเดลธุรกิจทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน นำไปสู่ความยั่งยืน"นายเกรียงไกร กล่าว
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โครงการนี้นับเป็นต้นแบบแหล่งเรียนรู้และบ่มเพาะแนวทางการเกษตรอัจฉริยะที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ให้กับผู้ประกอบการ โดยใช้พื้นที่บริเวณอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติของมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นพื้นที่ Sandbox ในการทดสอบและสาธิตการเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตรแบบครบวงจร เป็นต้นแบบความร่วมมือระยะยาวระหว่างมหาวิทยาลัยกับ ภาคอุตสาหกรรม ในด้านการวิจัย วิชาการ การสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมอย่างยั่งยืน
โดยมหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมให้การสนับสนุนองค์ความรู้ทางการวิจัยและวิชาการ การต่อยอด และถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระหว่างมหาวิทยาลัย กับเครือข่ายผู้ประกอบการภาคเอกชน รวมทั้งส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อสร้างกลไกการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรม
"พิธีลงนาม MOU ในวันนี้ นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี และเป็นอีกก้าวหนึ่งในการผลักดันความร่วมมือการพัฒนาพื้นที่ศาลายา เพื่อสนับสนุนความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลกับเครือข่ายผู้ประกอบการและพันธมิตรของ ส.อ.ท. อันจะเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs โดยบูรณาการความรู้และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลกับ ส.อ.ท."ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าว
ทั้งนี้ภายในงานมีการ Showcase สินค้าและบริการต่างๆ จากทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำนวน 5 บูธ ได้แก่ โครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ หรือ Smart Agriculture Industry (SAI), สถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม, โครงการกองทุนอินโนเวชั่นวัน (Innovation ONE), FTI Academy, FTI Service และจากของมหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 10 บูธ โดยมีหน่วยงานต่างๆภายในมหาวิทยาลัยมหิดลเข้าร่วมจัดบูธ ได้แก่ วิทยาเขตกาญจนบุรี, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, คณะวิทยาศาสตร์, สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์, คณะวิศวกรรมศาสตร์, สถาบันโภชนาการ, คณะเภสัชศาสตร์, สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม และโครงการจัดตั้งสถาบันอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ ซึ่งสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้การสนับสนุนในการประสานหน่วยงานต่างๆ เพื่อร่วมจัดบูธในครั้งนี้
-033
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี