นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 22 เมษายน 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบให้ “เครื่องฟอกอากาศ” และ “เครื่องดูดฝุ่น” เป็นสินค้าควบคุม (เพิ่มเติม) ปี 2568 เพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้และสามารถป้องกันหรือบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ส่งกระทบต่อสุขภาพประชาชน และเพื่อให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดมาตรการบริหารจัดการ ป้องกันประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบ
รายละเอียดการควบคุม คือ สินค้าเครื่องฟอกอากาศชนิดฟิลเตอร์ (HEPA Filter) และชนิดไอออน (Ionizer) ที่มีขนาดพื้นที่ใช้งานไม่เกิน 80 ตารางเมตร แบบตั้งพื้น และมีวัตถุประสงค์ใช้งานสำหรับภายในอาคารหรือที่พักอาศัย ส่วนสินค้าตัวดูดฝุ่นไฟฟ้า (เครื่องดูดฝุ่น) ชนิดมาตรฐาน แบบมีถุงหรือกล่องเก็บฝุ่นและมีสายเสียบปลั๊กไฟและชนิดด้ามจับ แบบมีสายเสียบปลั๊กไฟ และไม่มีสายเสียบปลั๊กไฟ ที่มีขนาดกำลังไฟฟ้าเข้าที่กำหนดตั้งแต่ 500-2,000 วัตต์ มีวัตถุประสงค์ใช้งานสำหรับภายในอาคารหรือที่พักอาศัย
ส่วนมาตรการในการกำกับดูแล ได้กำหนดให้ผู้นำเข้า ผู้ผลิต ผู้แทนจำหน่าย แจ้งปริมาณ ราคา และรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าเป็นประจำทุกเดือนในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป เพื่อกำกับดูแลสินค้าให้มีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ และผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542
ปัจจุบันสินค้าและบริการควบคุมปัจจุบันมีทั้งหมด 57 รายการ (สินค้า 52 รายการและบริการ 5 รายการ) แยกเป็น 11 หมวด ประกอบด้วย 1.กระดาษและผลิตภัณฑ์ 2.บริภัณฑ์ขนส่ง 3.ปัจจัยทางการเกษตร 4.ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 5.ยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ 6.วัสดุก่อสร้าง 7.สินค้าเกษตรสำคัญ 8.สินค้าอุปโภคบริโภค 9.อาหาร 10.อื่น ๆ และ 11.บริการ เครื่องฟอกอากาศและเครื่องดูดฝุ่นที่จะเพิ่มเข้ามาใหม่จะอยู่ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งจะทำให้จำนวนสินค้าและบริการควบคุมเพิ่มเป็น 59 รายการ
หลังขึ้นบัญชีเป็นสินค้าควบคุมแล้วหากตรวจสอบพบการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธการจำหน่าย จะมีโทษจำคุก 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และในส่วนของประชาชน หากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้าและบริการร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือ Line@MR.DIT หรือที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบ และหากพบการกระทำความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน(คน.) กล่าวว่ารมว.พาณิชย์ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในติดตามสถานการณ์การผลิตและภาวะการค้าสุกรและเนื้อสุกร ทั้งระดับค้าส่งและค้าปลีกอย่างใกล้ชิด และให้แก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยกรมฯ ได้หารือร่วมกับกรมปศุสัตว์และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติเป็นประจำ พบว่าปริมาณสุกรออกสู่ตลาดลดลง โดยเฉลี่ยวันละประมาณ 60,000 ตัว แต่ยังคงเพียงพอต่อการบริโภค
สาเหตุที่ทำให้ปริมาณลดลง มาจากสภาพอากาศร้อนจัดส่งผลให้สุกรโตช้าผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง นอกจากนี้เกษตรกรยังต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากค่าน้ำ และค่าไฟฟ้าซึ่งเพิ่มขึ้นจากความจำเป็นในการควบคุมอุณหภูมิภายในฟาร์ม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสภาพอากาศร้อน
อย่างไรก็ตาม ราคาประกาศสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติในสัปดาห์นี้ยังคงทรงตัวอยู่ที่ 88 บาท โดยแนวโน้มราคาจะยังคงทรงตัวต่ออีกระยะหนึ่ง ก่อนจะเริ่มปรับลดลงเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนที่มีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการเลี้ยง และเป็นไปตามรอบการผลิต
ทั้งนี้กรมฯ ได้ประชุมร่วมกับห้างค้าส่งและค้าปลีก ให้ตรึงราคาจำหน่ายเนื้อสุกรชำแหละหากมีความจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นจะต้องแจ้งให้กรมฯ ทราบล่วงหน้า เพื่อที่จะได้เข้าหารือและเจรจากับผู้ผลิตรายใหญ่ เพื่อควบคุมต้นทุนไม่ให้กระทบผู้บริโภค นอกจากนี้ กรมฯได้มีมาตรการรองรับเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค โดยจำหน่ายเนื้อสุกรราคาต่ำกว่าท้องตลาดในงานธงฟ้าราคาประหยัด ทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภูมิภาค เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งเชื่อมโยงเนื้อสุกรแดงเข้าสู่โมบายธงฟ้า และงานธงฟ้าทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงเนื้อสุกรคุณภาพในราคาย่อมเยา
”หากพบว่าผู้ค้ารายใดมีพฤติกรรมจำหน่ายสินค้าในราคาสูงเกินสมควร ประชาชนสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569 หากพบการกระทำผิดจะมีโทษตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มีโทษปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ“ นายวิทยากรกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี