โดยคุณ Rahul Sandil VP และ GM ฝ่ายการตลาดและการสื่อสารระดับโลกแห่ง MediaTek
MediaTek มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนด้วยการทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น ในบทสัมภาษณ์พิเศษครั้งนี้คุณ Rahul Sandil รองประธานและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและการสื่อสารระดับ กล่าวว่า ผมเชื่อในเรื่องของพรหมลิขิตครับ ผมเป็นเด็กเดลีโดยกำเนิดและเติบโตที่นั่น พ่อของผมทำงานด้านการตลาด โดยเริ่มต้นทำงานหลังเรียนจบจาก IIM Ahmedabad ที่กลุ่มบริษัท DCM หลังจากทำหลายโครงการ สุดท้ายคุณพ่อก็ได้เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดที่ DCM Toyota ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Toyota เริ่มเข้ามาบุกตลาดในอินเดียช่วงปลายยุค 80 ผมจึงเติบโตมาในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะเป็นยุคที่แบรนด์ต่างชาติกลับเข้ามาในประเทศอีกครั้ง ผมโตมาในครอบครัวนักการตลาด แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจอย่างจริงจัง น่าจะเป็นตอนที่ผมได้เห็นพ่อพูดถึงเรื่องแบรนด์ ส่วนแบ่งการตลาดของรถยนต์ เป็นต้น
มากกว่านั้น คุณ David และ Rick จาก MediaTek ได้ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของบริษัทให้ผมฟัง ทั้งเรื่องเส้นทางที่ผ่านมา รากฐานของบริษัท วัฒนธรรมองค์กร และทิศทางในอนาคต วิสัยทัศน์นี้ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจอย่างมาก
สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ ผมลองย้อนนึกถึงตอนที่ได้มีมือถือเครื่องแรกเป็นของตัวเอง ผมรู้สึกว่าเทคโนโลยีเมื่ออยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คนก็อาจดูน่าตื่นเต้น แต่พลังที่แท้จริงของเทคโนโลยีคือเมื่อมันอยู่ในมือของคนทุกคน และนั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับ MediaTek
หากมองย้อนกลับไปที่การเติบโตและวิวัฒนาการของอินเดีย จะเห็นได้ถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจในยุค 90 และการมาถึงของสมาร์ทโฟนในต้นยุค 2000 แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ การทำให้สมาร์ทโฟนเข้าถึงผู้คนนับร้อยล้านคน และทำให้พวกเขาใช้โทรศัพท์เพื่อทำธุรกรรมทางการค้า เช่น พ่อค้าขายผลไม้ก็สามารถรับชำระเงินผ่านโทรศัพท์ได้ ผมเชื่อว่าสิ่งนี้ช่วยทำลายวงจรความยากจนที่ตกทอดมาหลายชั่วรุ่น และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นวงจรแห่งโอกาส นี่แหละครับ ที่ทำให้ผมมีแนวคิดเหมือนกับวิสัยทัศน์ของ MediaTek ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน มันไม่ใช่แค่คำสวยหรูสำหรับผม แต่มันมีความหมายจริง ๆ โดยเฉพาะในฐานะคนที่กำลังจะนำพาแบรนด์ MediaTek และงานด้านการตลาดและการสื่อสารไปข้างหน้า และจะมีส่วนร่วมในภารกิจนี้ให้เทคโนโลยีเข้าถึงผู้คนให้ได้มากที่สุด
วิสัยทัศน์หนึ่งก็นั้นคือการทำให้ MediaTek เป็นที่รู้จักมากขึ้น เราเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดโทรศัพท์มือถือ และยังครองอันดับหนึ่งในกลุ่มสมาร์ททีวีอีกด้วย แล้วทำไมผู้คนทั่วโลกทุกคนถึงไม่ควรมีโอกาสเข้าถึงข่าวสาร ข้อมูล และความบันเทิงภายในบ้านของตัวเองล่ะ? มันไม่ควรเป็นสิ่งที่อยู่แค่ในมือของคนเพียงไม่กี่กลุ่ม ไม่ว่าคุณจะมีฐานะทางเศรษฐกิจแบบใด คุณไม่ควรต้องพึ่งพาใครในเรื่องการเข้าถึงข้อมูล ทุกคนควรเข้าถึงได้ด้วยตัวเอง
เมื่อเทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ราคาก็จะถูกลง ผู้คนจำนวนมากขึ้นก็จะมีโอกาสได้ใช้งาน และพวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้ได้มากขึ้น ผมยังคงรู้สึกตื่นเต้นกับดีเอ็นเอนี้อยู่เสมอ และผมเชื่อว่าอนาคตของ MediaTek นั้นน่าตื่นเต้นมาก เราจะยังคงเป็นบริษัทที่นำเสนอโซลูชันด้านอุปกรณ์พกพาที่ดีที่สุดและน่าสนใจที่สุดในโลก เราจะยังคงเป็นผู้นำด้านสมาร์ททีวี และเราจะขยายไปสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในด้านโซลูชันสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงเทคโนโลยียานยนต์ เราจะนำดีเอ็นเอของนวัตกรรมมาใช้ เพื่อทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงผู้คน และยกระดับชีวิตของทุกคนให้ดีขึ้น โดยมุ่งเข้าไปในทุกภาคส่วนที่เราสามารถทำให้เทคโนโลยีนั้นเข้าถึงได้
ที่บูธของเราในงาน MWC มีหนึ่งในการสาธิตที่น่าตื่นตาที่สุด แน่นอนว่าเรามีเดโมมือถือที่น่าตื่นตาให้ทุกคนได้ชม ทั้งการนำเสนอความสามารถของโทรศัพท์ที่ใช้ชิปของเรา รวมถึงกล้องสุดล้้ำ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดสำหรับผมคือการสาธิต 5G NTN ซึ่งสะท้อนถึงแก่นแท้ของ MediaTek อย่างแท้จริง
เทคโนโลยีนี้ใช้สัญญาณจากเครือข่ายนอกโลก (non-terrestrial network) ที่สามารถดาวน์โหลดได้ด้วยความเร็วสูงถึง 10 เมกะบิตต่อวินาที ลองนึกภาพการดาวน์โหลดระดับหลายเมกะไบต์ต่อวินาทีในพื้นที่ห่างไกลของโลก ที่ไม่มีเสาสัญญาณบนพื้นดิน แล้วจินตนาการดูว่าเทคโนโลยีนี้จะเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร
ไม่ว่าคุณจะเป็นเกษตรกรในพื้นที่ห่างไกลในแอฟริกาหรืออินเดีย หากคุณต้องการเข้าถึงข้อมูลราคาผลผลิตล่าสุดจากเมืองใหญ่ คุณจะไม่ต้องค้นหาข้อมูลจากช่องทางต่าง ๆ เพื่อดูว่าราคาที่ถูกต้องคือเท่าไหร่ คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ด้วยตนเอง ไม่มีใครสามารถจำกัดคุณได้ แค่มีสมาร์ทโฟนเท่านี้ก็สามารถเชื่อมต่อได้แล้ว นี่แหละครับที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งน่าตื่นเต้น และเรากำลังสร้างระบบนิเวศนี้ร่วมกับพันธมิตรของเรา
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับ MediaTek คือแนวคิดเรื่องการประสานความร่วมมือที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมองค์กร เราเป็นบริษัทที่มีอัตตาในการทำงานต่ำมากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ เราอยากร่วมงานกับทุกคน อยากร่วมมือกับบริษัทที่ดีที่สุดในโลก เราสร้างเครือข่ายพันธมิตรจำนวนมาก และต้องการนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งนี่แหละคือเหตุผลมากมายที่ผมเลือกมาที่นี่
การสร้างการรับรู้ในหมู่ผู้บริโภคและการทำให้แบรนด์เข้าถึงใจผู้บริโภค ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ คุณมีแผนการเชิงกลยุทธ์ในเรื่องนี้อย่างไร?
สิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเสมอ คือการเป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์ที่ผู้บริโภครัก เราต้องการสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับผู้บริโภค โดยเฉพาะในกรณีที่พวกเขามีทางเลือก และอาจมีความชื่นชอบในแบรนด์หนึ่งมากกว่าอีกแบรนด์หนึ่ง ซึ่งในจุดนี้ ผมคิดว่าเราทำได้ดีมากแล้ว
ตอนที่ผมเข้าร่วมกับ MediaTek ผมโพสต์ประกาศเล็ก ๆ บน LinkedIn เพื่อนสมัยเรียน B-school หลายคนโทรมาหาและพูดว่า “ว้าว บริษัทที่นายทำงานนี้สุดยอดไปเลย” นั่นแสดงให้เห็นว่า MediaTek ได้สร้างชื่อเสียงที่ดีไว้แล้ว
ผมคิดว่าทีมของเราทำผลงานได้ดีเยี่ยม หน้าที่ของผมคือการสนับสนุนทีมให้สร้างสรรค์ผลงานให้ดียิ่งขึ้น แต่หลัก ๆ แล้ว เราต้องมุ่งทำให้แบรนด์ของพันธมิตรเราแข็งแกร่งขึ้นเสมอ และมันไม่ใช่แค่เรื่องของสโลแกนที่เฉียบคมหรือโฆษณาที่สะดุดตาเพียงอย่างเดียว แต่มันต้องมองกลับไปที่แนวคิดพื้นฐานที่ว่า เราช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้กว้างขึ้นอย่างไรบ้าง เรานำเทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆ มาใช้บ้าง และเราสามารถมอบเทคโนโลยีนั้นในราคาที่เหมาะสมที่สุดได้หรือไม่ เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้ได้มากที่สุด นั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญและเกิดความยั่งยืนที่สุดในการสร้างแบรนด์
ผมชอบสโลแกนเก๋ ๆ และโฆษณาสวย ๆ ล้ำ ๆ นะครับ ทีมของผมก็สนุกกับมันมาก แต่ผมมองว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเพียงแค่เรื่องฉาบฉวยเท่านั้น สิ่งที่ยั่งยืนจริง ๆ คือต้องมุ่งไปที่หัวใจของแบรนด์ และในขณะเดียวกัน เมื่อเรายิ่งโตขึ้น เรายังต้องสร้างความชื่นชอบในกลุ่มลูกค้าองค์กรด้วย ดังนั้น เราต้องบริหารสมดุลระหว่างการสื่อสารกับผู้บริโภคปลายทาง และลูกค้าองค์กร และตรงนี้แหละคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับเราในอนาคต
เมื่อเราพัฒนาโซลูชันสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมทั้ง AI และ PC เราอาจไม่ได้พูดคุยกับผู้บริโภคโดยตรงตลอดเวลา เราจึงต้องวางกลยุทธ์ให้ครอบคลุมทั้งฝั่งผู้ใช้ปลายทางและกลุ่มองค์กรไปพร้อมกัน เพื่อขยายแบรนด์ให้เติบโตยิ่งขึ้น เราจะได้เห็นแล็ปท็อปที่ใช้ชิปของ MediaTek สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows หรือไม่? แล้วในด้านเทคโนโลยียานยนต์ MediaTek กำลังทำอะไรอยู่บ้าง?
แน่นอน เราอยากทำมากครับ เราต้องการร่วมมือกับทุกฝ่ายให้ได้มากที่สุด เพราะเรายังคงยึดถือวิสัยทัศน์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน ปัจจุบันเราเป็นผู้นำในตลาด Chromebook ซึ่งถือว่าเป็นพันธมิตรหลักของ Google
เราได้ก้าวเข้าสู่วงการเทคโนโลยียานยนต์แล้วเช่นกัน เราเป็นพันธมิตรที่ดีกับ NVIDIA ตอนนี้มีเดโมแสดงอยู่ด้านนอก เป็นส่วนคนขับในรถยนต์ที่มีหน้าจอกว้าง 42 นิ้วความละเอียดสูง ซึ่งใช้โซลูชันของเราในการตรวจจับการชน และนี่จะกลายเซกเมนต์ที่สำคัญของเราในอนาคตด้วย
การเชื่อมต่อระหว่างรถกับโทรศัพท์มือถือจะมีความสำคัญอย่างมาก ผมขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ มานานกว่า 10 ปีแล้ว และได้เห็นพัฒนาการของเทคโนโลยีรูปแบบนี้มาโดยตลอด ในมุมมองส่วนตัวของผม หากไม่ใช่รถ EV หรือพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน เทคโนโลยีด้านระบบอัตโนมัติหรือ Autonomy ที่เคยดูเหมือนนวนิยายวิทยาศาสตร์กำลังกลายเป็นความจริงเร็ว ๆ นี้ ผมเพิ่งไปซานโฮเซมา และได้เห็นรถ EV แบบไร้คนขับวิ่งเต็มไปหมด
หนึ่งในพันธมิตรของเราอย่าง Google ก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีนั้น ดังนั้นเราจะเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมนี้อย่างแน่นอน ลองนึกภาพถึงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านซัพพลายเชนครั้งใหญ่ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้คนในทุกชนชั้นสามารถเข้าถึงการขนส่งและโลจิสติกส์ได้ ผมแทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าโลกนั้นจะน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหน ที่สำคัญคือเรามีระบบพันธมิตรที่แข็งแกร่งอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในฝั่งตะวันตก ตะวันออก หรือเอเชีย เรามีประวัติศาสตร์ที่ดีในการสนับสนุนแบรนด์ชั้นนำในไต้หวัน จีน อินเดีย และสหรัฐฯ ดังนั้นเราจึงอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบในตลาดนี้อย่างแท้จริง เรามีสถานะที่แข็งแกร่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่แล้ว และเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในตลาดโทรศัพท์และอุปกรณ์อย่างชัดเจน เราเป็นบริษัทที่มีความอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติในเรื่องเหล่านี้ และเราต้องการร่วมมือกับทุกฝ่าย
เพื่อนคนหนึ่งของผมพูดว่า “นายจะทำงานกับ MediaTek เหรอ เป็นบริษัทที่มีแต่พลังบวกจริง ๆ” และคุณจะเห็นสิ่งนั้นได้จากพนักงานของเรา... พวกเขายิ้มแย้มอยู่เสมอและพร้อมที่จะร่วมมือ นั่นเป็นพลังงานที่ส่งต่อได้ ซึ่งสะท้อนมาจากวัฒนธรรมองค์กร และผมเชื่อว่าเป็นเพราะเรามีหัวใจที่อยากแก้ไขปัญหาที่ยากที่สุดร่วมกับผู้คน ผมคิดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มากสำหรับเรา ส่วนดาต้าเซ็นเตอร์ก็จะสิ่งใหม่ ๆ สำหรับเราด้วยเช่นกัน
เราได้พูดถึงชิปแบบ custom ที่เรากำลังพัฒนาสำหรับโซลูชันดาต้าเซ็นเตอร์อยู่บ้างแล้ว ผมอยากให้คุณติดตามพวกเราที่งานสัมมนาของ NVIDIA เราจะนำเสนอเดโมที่น่าตื่นตามาก ๆ โดยมีเดโมหนึ่งที่น่าสนใจมากคือชิป ASIC สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งถือเป็นชิปแพ็กเกจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นโซลูชันแบบแพ็กเกจที่เรานำชิปของเราผสานรวมเข้ากับชิปของพันธมิตร และใส่หน่วยความจำเพิ่มเข้าไป
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้? และคุณคิดว่าอะไรคือ "Next Big Thing"
ผมใช้ AI ในชีวิตส่วนตัวมาตั้งแต่ประมาณสองปีที่แล้ว และจ่ายค่าสมาชิกรายเดือน $200 ให้กับ OpenAI สำหรับ ChatGPT ซึ่งทำให้ผมเข้าถึงฟีเจอร์ทั้งหมดได้ มันคือพลังพิเศษเลยครับ
ถ้าผมอยากทำวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับข้อมูลสาธารณะทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหนึ่ง ๆ ผมจะใช้ฟีเจอร์ Deep Research ของ ChatGPT แล้วผมก็จะได้คำตอบที่น่าประทับใจภายใน 10-15 นาที แน่นอนว่าผมไม่ได้เชื่อข้อมูลทั้งหมดที่มันให้มาโดยทันที แต่สิ่งที่มันทำให้คือ ‘จุดเริ่มต้นที่ดี’ ที่ผมสามารถเจาละลึกลงไปได้อีก
โดยปกติ งานลักษณะนี้ต้องหาทีมมาช่วย และต้องติดต่อประสานงานผู้ให้บริการห้ารายขึ้นไป แต่ตอนนี้ AI มอบไอเดียเจ๋ง ๆ ให้ได้เลย การเข้าถึงข้อมูลในลักษณะนี้คือการเข้าถึง "ความอัจฉริยะ" และผมคิดว่านี่แหละคือ "killer app" หรือแอปพลิเคชันที่เปลี่ยนเกม ไม่ใช่เพราะมันทำอะไรได้บ้าง แต่เพราะมันทำให้สิ่งนั้นเกิดผลกับคนจำนวนมากได้อย่างไรต่างหาก
ตอนที่ Deepseek เปิดตัว ทุกคนพูดว่า “ว้าว ตอนนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้แล้ว” และผมคิดว่านั่นแหละคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ และแน่นอนว่า OpenAI เองก็กำลังจะทำอะไรที่ดียิ่งขึ้น และนี่ก็คือธรรมชาติของนวัตกรรม ผมยังเชื่อว่า สิ่งที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ มันยังไม่ถึง 1% ของสิ่งที่เป็นไปได้ทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ
แอปพลิเคชันพลิกเกมในอนาคตจะเป็นเรื่องของเกษตรอัจฉริยะ และการแพทย์อัจฉริยะ—หรือที่ผมเรียกว่า การแพทย์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI หรือ AI-enabled medicine
ย้อนกลับไปในอดีต มนุษยชาติต้องใช้เวลาราว 30 หรือ 40 ปีกว่าจะสามารถพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอได้ แต่ตอนที่เกิดโควิด มันใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นในการพัฒนาวัคซีน
ตอนนี้ผมอ่านเจอบทความที่กล่าวถึงการใช้ AI ในการอนุมานและเทรนโมเดล ซึ่งยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นมาก ๆ ดังนั้นมันยังเป็นเรื่องที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่ก็มีบทความในอังกฤษที่กล่าวถึงแนวทางการรักษามะเร็งตับอ่อนด้วย AI แล้วนะครับ ลองนึกดูสิครับ ถ้าเราสามารถรักษามันเหมือนที่เรารักษาโปลิโอ และป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นในหลากหลายรูปแบบ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่ามันมีความหมายมหาศาล เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งเหล่านี้หมายถึงอะไร? มันหมายถึงมนุษยชาติสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น สุขภาพดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสิ่งนี้ก็อาจจะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของโลกไปโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้
ถ้าผู้คนสามารถมีอายุยืนขึ้น สุขภาพดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราก็ต้องมีโครงสร้างสังคมใหม่รองรับ และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เรายังไม่ค่อยได้จินตนาการหรือคิดถึงนัก เพราะโดยธรรมชาติ มนุษย์มักคิดแบบเส้นตรง—คิดถึงการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป ยกตัวอย่างเช่น เมื่อ 50 ปีก่อน อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์อยู่ที่ 55 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 75 ปี เมื่อก่อนผู้คนเกษียณตอนอายุ 58 ตอนนี้เกษียณตอน 65 แล้วจะเกิดอะไรขึ้นในโลกที่คุณไม่จำเป็นต้องเกษียณเลยล่ะ? นี่แหละครับ คือสิ่งที่ผมรู้สึกอยากรู้และสงสัยในอนาคต
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี