nn คุณลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต... ประกาศอยู่ระหว่างพิจารณาชะลอขึ้นภาษีความหวานออกไปก่อน จากกำหนดเดิมจะมีการปรับขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เพราะเห็นว่าจะเป็นการเก็บภาษีเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดที่ทำให้อัตราภาษีที่เก็บตามปริมาณน้ำตาลในแต่ละขั้นเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจในช่วงการระบาดของโควิด-19 แบบนี้ คุณลวรณคงเห็นแล้วว่าจะเดินหน้าขึ้นภาษีสินค้าต่างๆ รีดเลือดจากผู้ประกอบการและประชาชนคงไม่เหมาะสมและไม่ใช่นโยบายที่ถูกต้อง เพราะยามนี้รัฐต้องใช้นโยบายเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชนแต่การเก็บภาษีเพิ่มจะสวนทางกับนโยบายรัฐบาลทันที…ธุรกิจเครื่องดื่มและที่เกี่ยวข้องกับภาษีความหวานจึงได้ความชัดเจนกันไปเรียบร้อย แต่ที่ยังคาราคาซังอยู่คงเป็นภาษีบุหรี่ ตั้งแต่การขึ้นภาษียาสูบครั้งล่าสุดเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ก็เป็นการขึ้นภาษี แบบก้าวกระโดดในครั้งเดียว ทำให้ราคาขายปลีกบุหรี่ที่เคยขายต่ำสุดราคาซองละ 40 บาท ปรับขึ้นทีเดียวกว่า 50% เป็นซองละ 60 บาท ผลักให้คนสูบบุหรี่ไปซื้อยาเส้นหรือบุหรี่เถื่อน ส่วนคนสูบบุหรี่ที่เคยซื้อบุหรี่กลุ่มราคากลางๆ แต่เมื่อราคาถูกดันให้ขึ้นไปขายที่ 90 บาทเป็นอย่างต่ำ ก็พากันหันมาสูบบุหรี่ราคาต่ำซองละ 60 บาทแทน...การแบ่งอัตราภาษีบุหรี่เป็น 2 อัตรา โดยบุหรี่ราคาไม่เกินซองละ60 บาท เสียภาษีร้อยละ 20 ส่วนบุหรี่ที่ราคาเกินซองละ 60 บาท เสียภาษีร้อยละ 40 เพื่อหวังจะช่วย การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.)...แต่ กลับไม่ได้ผลอย่างที่หวัง เพราะบุหรี่ต่างประเทศก็ลดราคาลงมาแข่งกันที่60 บาท กลายเป็นการแข่งขันด้านราคากันอย่างดุเดือด จนส่วนแบ่งการตลาดของผู้ผลิตในประเทศถูกแย่งไป และยังทำให้บุหรี่กลุ่มล่างที่รัฐเก็บภาษีต่อซองได้น้อยกว่า มีการเติบโตขึ้นจนกลายเป็นบุหรี่ที่เกือบจะครอบคลุมปริมาณขายของบุหรี่ทั้งตลาด…ผลกระทบที่ตามมาจึงต้องเรียกว่า“ได้ไม่คุ้มเสีย” จริงๆ เพราะนอกจากรายได้ภาษีบุหรี่จะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้ ยสท. ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดของกรมฯ เองแทบกระอักเลือด ยอดขายและรายได้ ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากองค์กรที่เคยมีกำไรปีละ9 พันล้านบาท เหลือเพียงปีละ 5 ร้อยล้านบาทจนต้องงดส่งรายได้เข้ารัฐ 3 ปี รวมกว่า 16,000ล้านบาท จากการขึ้นภาษีบุหรี่แบบมหาโหดเมื่อปี 2560…คุณภาณุพล รัตนกาญจนภัทรผู้ว่าการ การยาสูบแห่งประเทศไทย…ก็รู้เต็มอกว่ารายได้ ยสท.หายไปมหาศาลเป็นผลมาจากอะไร...จึงต้องหา OD ไว้ 1.5พันล้านบาท เพื่อบริหารความเสี่ยง...!! ใกล้โค้งสุดท้ายแบบนี้ คนที่วิ่งฝุ่นตลบไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเอ็นจีโอสายสุขภาพและเครือข่ายรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ที่อยากเห็นราคาขั้นต่ำของบุหรี่กระโดดขึ้นไปเป็น 75 บาท แน่นอนว่าเก็บภาษีสรรพสามิต
ได้มากขึ้น เงินก็จะไหลเข้ากองทุน สสส. มากขึ้นตามไปด้วย ก็ไม่รู้ว่าเสียงคุณหมอทั้งหลายจะดังขนาดไหน เพราะทั้งชาวไร่ยาสูบและสหภาพแรงงาน ยสท. ต่างดาหน้าออกมาคัดค้านข้อเสนอสุดโต่งทันที ถ้าขึ้นภาษีแบบนี้พังกันทั้งระบบ…หวังว่าคุณลวรณและกรมสรรพสามิต จะศึกษาพิจารณาให้ถ้วนถี่แม้จะเคยนั่งประชุมบอร์ดยาสูบแต่วันนี้ต้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง หากจำเป็นต้องขึ้นภาษีบุหรี่ ก็ค่อยๆ ทยอยปรับขึ้นทีละนิดๆ ไป โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นภาษีทีละมากในคราวเดียว เน้นทำโครงสร้างให้มันง่ายด้วยภาษีอัตราเดียวแล้ววางแผนขึ้นเป็นขั้นบันได ไม่ต้องแบ่งหลายอัตราจะได้ปิดช่องการลดราคามาแข่งกันที่อัตราภาษีต่ำๆ ได้ และอย่าลืมจัดการปัญหาบุหรี่ที่ระบาดหนักแถวชายแดนภาคใต้ด้วย
อนันตเดช พงษ์พันธุ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี